- บริษัทจะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด
- คาดการณ์ตัวเลขผลกำไร: $92,630 ล้านเหรียญสหรัฐ
- คาดการณ์ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น: $7.38
ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ที่สุดของโลกอย่างแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) ตื่นเต้นกับการรายงานผลประกอบการที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันศุกร์ตามเวลาประเทศไทย ในขณะที่บริษัททั่วโลกกำลังทุกข์ทรมานกับผลกระทบจากไวรัสโรคระบาดโควิด-19 จนต้องหันไปพึ่งพาการทำงานอยู่จากที่บ้านของตนเพิ่มมากขึ้น มีเพียงแอมาซอนและบริษัทที่ไหวตัวทันหันไปพึ่งเทคโนโลยีคลาวด์เท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้อย่างไม่รู้สึกลำบาก แต่สำหรับแอมาซอนนั้นไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกลำบากแต่ใช้คำว่าผ่านไปได้อย่างแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ว่าได้
จะแข็งแกร่งแค่ไหน? ในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้เราจะได้รู้กัน นักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรของแอมาซอนจะเติบโตขึ้น 32% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ตลอดทั้งปี 2020 จนถึงปัจจุบันหุ้นแอมาซอนปรับตัวขึ้นมาแล้ว 73% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $3162.78 เพิ่มขึ้น 2.47% ด้วยความความหวังที่มีต่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของหุ้นแอมาซอนนี้เองที่ทำให้ราคาหุ้นยังคงยืนสูงได้อย่างต่อเนื่อง
นึ่งในความแข็งแกร่งที่สุดของบริษัทแอมาซอนมาจากการเป็นสมาชิกเพื่อใช้บริการของแอมาซอน ไพรม์ (Amazon Prime) สมาชิกสามารถเพลิดเพลินไปกับรายการทีวี ฟังเพลง ซื้อหนังสือและส่วนลดในการจับจ่ายใช้สอยอีกมากมาย จนถึงตอนนี้หากจะกล่าวว่าเป็นบริการที่มีสมาชิกเยอะที่สุดในโลกก็คงจะไม่ผิดนักเพราะจากข้อมูลที่ได้มาตอนนี้แอมาซอนมีผู้ยอมเสียเงินเพื่อใช้บริการมากถึง 150 ล้านคน
ผู้ถือหุ้นของแอมาซอนมีความเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปแล้วในช่วงโควิดจะยิ่งสร้างโอกาสในการทำกำไรให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น นับตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน บริษัทแอมาซอนได้มูลค่าตลาดเพิ่มเข้ามาอีก $700,000 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับมูลค่าตลาดของบริษัทเฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) ปัจจุบันมูลค่าตลาดของแอมาซอนมีจำนวนมากกว่า $1,600,000 ล้านเหรียญสหรัฐเรียบร้อยแล้ว
เทคโนโลยีคลาวด์อันแข็งแกร่งของแอมาซอน
เห็นแอมาซอนเติบโตอย่างมหาศาลขนาดนี้เชื่อหรือไม่ว่าไม่ใช่ผลกำไรที่มาจากตลาดซื้อขายออนไลน์เท่านั้น แต่กำไรหลักจริงๆ ของบริษัทมาจากแพลตฟอร์มคลาวด์ที่นำเสนอบริการอันโดดเด่นเต็มรูปแบบกว่า 175 บริการจากศูนย์ข้อมูลต่างๆ ทั่วโลกและลูกค้ากว่าหลายล้านคนที่มีชื่อว่า “Amazon Web Services (AWS)” AWS คือแหล่งเงินทุนที่ต่อยอดให้กับธุรกิจของบริษัทได้มหาศาล จนแอมาซอนสามารถมีเงินเพื่อใช้ในการโปรโมทสินค้ามากมายได้
ไตรมาสที่ 1 แอมาซอนแสดงตัวเลขกำไรจาก AWS ออกมาอยู่ที่ 33% และในไตรมาสที่สองซึ่งเป็นไตรมาสที่แสดงผลกระทบจากโควิดได้หนักที่สุด บริษัทแอมาซอนก็ยังสามารถแสดงตัวเลขกำไรจาก AWS ออกมาได้แม้จะลดลงเหลือ 29% ดังนั้นในไตรมาสที่สามที่กำลังจะประกาศนี้เชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวจะต้องเพิ่มขึ้นมากกว่า 29% อย่างแน่นอน
แต่สื่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับการทำธุรกิจของบริษัทแอมาซอนคือความพยายามที่จะรักษาพนักงานของบริษัทเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะแม้กำไรจะเติบโตขึ้นแต่ความพยายามดังกล่าวก็ทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แอมาซอนใช้เงินมากกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อจ้างพนักงาน เพิ่มเงินเดือน ย่นระยะเวลาในการส่งสินค้าให้ได้มากที่สุด ฯลฯ
อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้นของแอมาซอนกลับไม่ได้เป็นห่วงในปัญหาส่วนนี้มากนัก พวกเขายังไว้ใจการใช้เงินของ CEO เจฟฟ์ เบโซส์อยู่เพราะในอดีตเจฟฟ์ เบโซส์คือผู้ที่เล็งเห็นอนาคตของคลาวด์ โลกดิจิทัลก่อน แม้จะให้เงินลงทุนจำนวนมาก แต่กำไรที่ได้จากการเดิมพันลงทุนในอดีตครั้งนั้นสะท้อนให้เห็นความมีวิสัยทัศน์ของเบโซส์อย่างชัดเจน
ไม่กลัวที่จะก้าวเข้าสู่ดินแดนใหม่
นอกเหนือจากความสามารถในการบริหารเงินทุน การมีตลาดออนไลน์เอาไว้ทำกำไรและหมุนเงินเพื่อไปทำธุรกิจในแขนงอื่นแล้ว ตอนนี้แอมาซอนก็มีโปรเจคใหม่ออกมาให้นักลงทุนได้ตื่นตาตื่นใจกันอีก การถือกำเนิดขึ้นของสตูดิโอภาพยนตร์ “Amazon Studio” ถือเป็นความต้องการก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์อย่างชัดเจน นี่คือการส่งสาสน์ท้ารบไปยังยักษ์ใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์ที่ครองตลาดอยู่ ณ ขณะนี้อย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) และ เอชบีโอ (NYSE:T)
นอกจากวงการภาพยนตร์แล้ว แอมาซอนก็ยังต้องการขยายธุรกิจออกไปให้ได้กว้างมากที่สุด ในปี 2017 แอมาซอนได้ควบรวมบริษัท Whole Food Market เพื่อพัฒนาโลกของร้านสะดวกซื้อให้กลายเป็นการซื้อของที่ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานรอชำระเงินอีกต่อไป เป็นที่มาของ Amazon Go ในปัจจุบันที่ลูกค้าสามารถเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ หยิบของที่ต้องการและเดินออกไปใช้ชีวิตต่อได้เลย
โดยสรุปแล้ว
อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ TipRank.com ระบุว่านักวิเคราะห์ 36 คนเห็นไปในทางเดียวกันหมดว่าหุ้นของแอมาซอนอยู่ในระดับ “น่าซื้อ” ในขณะที่ Bernstein บริษัทเพื่อการลงทุนได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นแอมาซอนขึ้น หลังจากเห็นผลงานขาขึ้นที่กลับมาจากจุดต่ำสุดเดือนมีนาคมได้อย่างโดดเด่น ดังนั้นหากนักลงทุนเห็นการวิ่งลงมาของหุ้นแอมาซอน ให้พิจารณาได้เลยว่าขาลงทั้งหมดนั้นคือการย่อและเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ที่มีชื่อว่า “แอมาซอน”