ผ่านไปแล้วสองสัปดาห์กับการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปี 2020 ของบริษัทในสหรัฐอเมริกาซึ่งสิ่งที่นักลงทุนมองหามากที่สุดจากการรายงานครั้งนี้คือความสามารถในการฟื้นตัวจากไตรมาสที่สองของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ในรายงานผลประกอบการครั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นกลุ่มพลังงานโดยคาดว่าตัวเลขผลประกอบการจะลดลงมากถึง 120% ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะลดลง 61.5% ในขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีซึ่งถูกจับตามากที่สุดคาดว่าจะปรับตัวลดลงเพียง 2.5% เท่านั้น
ข้อมูลจากกราฟกองทุน ETF นาม QQQ Invesco (NASDAQ:QQQ) ซึ่งติดตามข้อมูล 100 บริษัทที่ไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงินในตลาด NASDAQ Composite มีราคาซื้อขายสูงจนเกือบใกล้ถึงจุดสูงสุดตลอดกาล กราฟปรับตัวขึ้นเกือบ 34% ในปี 2020 เมื่อเทียบกับ S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นในเวลาเดียวกัน 6.5% เท่านั้น เมื่อบริษัทเทคโนโลยีได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปีนี้ การรายงานผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทั่วโลกรู้จักกันดีอย่างเฟซบุ๊ก กูเกิล แอปเปิลจึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษซึ่งสัปดาห์นี้เวลานั้นได้เดินทางมาถึงแล้ว
1. Alphabet (รายงานผลประกอบการวันที่ 26 ตุลาคมหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิด)
คาดการณ์การเติบโตของอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้น: +10.1% ปีต่อปี
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขผลกำไร: +5.4% ปีต่อปี
บริษัทแม่ของเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลชื่อดัง “กูเกิล” (NASDAQ:GOOGL), (NASDAQ:GOOG) ถือเป็นหุ้นที่ตามหลังเพื่อนในกลุ่มเทคหุ้นเทคฯ อีกสี่บริษัทมากที่สุด หากนับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน หุ้นกูเกิลปรับตัวขึ้นเพียง 16% ซึ่งได้รับผลกระทบมาจากบริษัทที่จ่ายเงินโฆษณาให้กับกูเกิลต้องประสบปัญหาทางการเงินเพราะวิกฤตไวรัสโควิด-19
หุ้นกูเกิล(หรือของบริษัทอัลฟาเบต) เคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $1,725.65 เมื่อวันที่ 2 กันยายน ปัจจุบันมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $1632.81 และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ $1,050,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้จะตามหลังเพื่อนแต่ก็ยังถือเป็นบริษัทอันดับสี่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา
แม้ผลประกอบการของกูเกิลในไตรมาสที่สองจะสามารถเอาชนะการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ไปได้ แต่ตัวเลขกำไรแบบปีต่อปียังถือว่าติดลบอยู่ ในไตรมาสนี้นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้นจาก $10.12 ขึ้นมาเป็น $11.15 ในขณะที่ตัวเลขผลกำไรจะเพิ่มขึ้นจาก $4,050 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น $4,268 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากการที่ได้เห็นตัวเลขเปรียบเทียบผลกำไรแบบปีต่อปีลดลงเกือบ 10% ทำให้นักลงทุนเกิดคำถามว่าตัวเลขผลประกอบการไตรมาสที่สามนี้จะแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถก้าวข้ามจุดเลวร้ายที่สุดมาแล้วหรือไม่เพราะแม้กระทั่งยอดขายโฆษณาบน YouTube ก็ยังลดลงในไตรมาสที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ แต่ที่น่าสนใจก็คือว่าระบบคลาวด์แพลตฟอร์มของกูเกิล (Google Cloud Platform) จะสามารถกู้สถานการณ์ให้กับบริษัทได้หรือไม่ ในไตรมาสที่สองยอดขายจาก GCP เพิ่มขึ้น 43% คิดเป็น $3,010 ล้านเหรียญสหรัฐ
อีกหนึ่งข่าวที่อาจสร้างผลกระทบต่อบริษัทกูเกิลคือการไต่สวนจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เกี่ยวกับเรื่องการกีดกันทางการค้าของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ผู้ต้องสงสัยไม่ได้มีแต่กูเกิลเท่านั้นแต่ยังมีเฟซบุ๊ก แอปเปิล และแอมาซอนก็โดนตรวจสอบด้วยเช่นกัน
2. Microsoft (รายงานผลประกอบการวันที่ 27 ตุลาคมหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิด)
คาดการณ์การเติบโตของอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้น: +11.6% ปีต่อปี
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขผลกำไร: +8.2% ปีต่อปี
อีกหนึ่งดาวเด่นที่เปล่งประกายอย่างมากในช่วงวิกฤตโรคระบาดคือบริษัทไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหันมาให้บริการด้วยระบบคลาวด์มากกว่าที่จะขายซอฟต์แวร์เหมือนในอดีต นับตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงปัจจุบัน หุ้นไมโครซอฟต์กระโดดขึ้นมาประมาณ 36% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $232.86 ได้ในวันที่สองพฤศจิกายน มีราคาล่าสุดอยู่ที่ $216.25 และมีมูลค่าตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $1,620,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ครองตำแหน่งอันดับสองของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ในไตรมาสที่สามนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้นจาก $1.38 เป็น $1.54 เมื่อเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน ในขณะที่ตัวเลขยอดขายจะเพิ่มขึ้นจาก $3,306 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นเป็น $3,577 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสที่แล้วไมโครซอฟต์สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์เหล่านี้ไปได้อย่างสบายๆ
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจกับรายงานผลประกอบการของไมโครซอฟต์มากที่สุดคือการเติบโตของผลิตภัณฑ์จากระบบคลาวด์ของบริษัทเช่น Azure, GitHub, SQL Server, Windows Server ฯลฯ เพราะจากไตรมาสที่แล้วกำไรจากการโฆษณาแบบปีต่อปีเพิ่มขึ้น 17% แต่กำไรจาก Azure กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากถึง 47% นอกจากนี้ยังมีรายได้จากผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น Office 365, Microsoft Team และ LinkedIn (NYSE:LNKD) ที่น่าจับตาก็คือไตรมาสที่สี่จะมีการเปิดตัวเครื่องเล่นเกมรุ่นใหม่ “Xbox Series X” ในวันที่ 10 พฤศจิกายนด้วย
3. Apple (รายงานผลประกอบการวันที่ 29 ตุลาคมหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิด)
คาดการณ์การเติบโตของอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้น: -8.2% ปีต่อปี
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขผลกำไร: -0.3% ปีต่อปี
บริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ปี 2020 ต้องปรับตัวอยู่พอสมควร ไตรมาสที่แล้วแอปเปิลพึ่งอนุญาตให่มีการแตกพาร์หุ้นเป็น 4-1 และได้เพิ่มบริการมากมายให้กับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของบริษัทเช่น iTune Music, Apple TV+ และ Apple Arcade
ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นแอปเปิลปรับตัวขึ้นประมาณ 60% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $137.98 เมื่อวันที่ 2 กันยายน มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $115.05 และมีมูลค่าตลาดมากถึง $2,010,000 ล้านเหรียญสหรัฐพ่วงด้วยการครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา
นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสที่สามนี้แอปเปิลจะมีการปันผลและมีตัวเลขยอดขายลดลง การปันผลอาจจะมีตัวเลขออกมาอยู่ที่ $0.71 ในขณะที่ตัวเลขยอดขายจะลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วเหลือ $6,385 ล้านเหรียญสหรัฐโดยมีสาเหตุหลักๆ มาจากผลกระทบของโควิด-19
จากการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่าง iPhone 12 ล่าช้าไปหนึ่งเดือนและการวางขายมือถือดังกล่าวในแต่ละรุ่นในเวลาที่ไม่พร้อมกัน ทำให้นักลงทุนต้องการทราบรายละเอียดเชิงลึกว่าโควิด-19 กระทบต่อการสายพานการผลิตไอโฟนมากน้อยแค่ไหน
การเติบโตของยอดขายผลิตภัณฑ์อื่นอย่างเช่น iPad, Macbook ฯลฯ ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนด้วยเช่นกัน ที่ผ่านมาทั้ง iPad และ Mac สร้างยอดขายให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่ทำให้ผู้คนหันมาอยู่บ้านมากยิ่งขึ้น รายงานตัวเลขการเติบโตของผลกำไรแบบปีต่อปีในสองไตรมาสก่อนเติบโตขึ้น 31% และ 21.6% ตามลำดับ
ที่สำคัญ นักลงทุนอยากทราบด้วยว่าแอปเปิลจะมีแนวทางในการวางขายสินค้าของตนในไตรมาสที่สี่หรือช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้อย่างไร เป็นที่ทราบกันดีว่าไวรัสโรคระบาดทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว การจับจ่ายใช้สอยลดลงซึ่งโดยปกติแล้วไตรมาสที่สี่คือไตรมาสที่มีการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุดในทุกๆ ประเทศทั่วโลก ดังนั้นแนวทางการขายสินค้าของแอปเปิลในไตรมาสนี้จึงถือว่ามีความท้าทายเป็นอย่างมาก
4. Amazon (รายงานผลประกอบการวันที่ 29 ตุลาคมหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิด)
คาดการณ์การเติบโตของอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้น: +72.3% ปีต่อปี
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขผลกำไร: +32.3% ปีต่อปี
เมื่อพูดถึงบริษัทที่ได้กำไรมากที่สุดในช่วงโควิด-19 จะไม่พูดถึงบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของโลกอย่างแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) ไม่ได้เลย ในช่วงที่มีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นทั่วโลก แอมาซอนถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตมากที่สุดในช่วงนั้น ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นแอมาซอนเติบโตขึ้นมาเกือบ 75% แสดงให้โลกได้เห็นว่าการค้าขายบนออนไลน์ได้ก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่งแล้ว
หุ้นแอมาซอนสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $3552.25 ในวันที่ 2 กันยายน มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $3204.64 จากข้อมูลเมื่อวันพุธที่แล้วบริษัทแอมาซอนมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $1,610,000 ล้านเหรียญสหรัฐและถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับสามในตลาดหุ้นสหรัฐ รองจากแอปเปิลและไมโครซอฟต์
ด้วยชื่อเสียงที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงล็อกดาวน์และช่วงที่โลกได้รับรายงานตัวเลข GDP ที่เลวร้ายที่สุดในไตรมาสที่สอง จึงไม่น่าแปลกในเลยว่าไตรมาสที่แล้วแอมาซอนสามารถรายงานตัวเลขผลประกอบการแบบถล่มถลายได้อย่างไร ครั้งนี้นักวิเคราะห์จึงคาดว่าตัวเลขอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้นแบบปีต่อปีจะเพิ่มขึ้นจาก $4.23 เป็น $7.29 คิดเป็นการเติบโต 72% ส่วนตัวเลขยอดขายคาดว่าจะเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วอีก 32% คิดเป็นตัวเลข $9,257 ล้านเหรียญสหรัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจ e-commerce และเทคโนโลยีคลาวด์
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับรายงานผลประกอบการของแอมาซอนในครั้งนี้จะมีการเติบโตของกำไรจาก “Amazon Web Services” เพราะในไตรมาสที่สองสามารถทำตัวเลขการเติบโตเพิ่มขึ้น 29% คิดเป็นกำไร $1,080 ล้านเหรียญสหรัฐ ตอกย้ำความแข็งแกร่งเหนือคู่แข่งอย่าง Azure ของไมโครซอฟต์และ Google Cloud ของอัลฟาเบต
นอกจากนี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจกับการเติบโตของกำไรที่ได้จากบริหารสมัครสมาชิก “Amazon Prime” ที่มีสมาชิกทั่วโลกมากกว่า 150 ล้านคน ในไตรมาสที่สองการเติบโตของกำไรจาก Amazon Prime เพิ่มขึ้น 29% คิดเป็นตัวเลขกำไร $6,020 ล้านเหรียญสหรัฐ
ความสำเร็จอย่างมากมายไม่ว่าจะทำธุรกิจแบบไหนของแอมาซอนทำให้ไตรมาสที่สี่ที่ถือเป็นไตรมาสแห่งการกอบโกยนี้ นักลงทุนคาดหวังว่าจะได้เห็นการรายงานตัวเลขที่เกินความคาดหมายจากแอมาซอนอีกครั้ง นักวิเคราะห์ประเมินว่าไตรมาสที่สี่แอมาซอนจะสามารถทำกำไรได้มากถึง $11,140 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน 27%
5. Facebook (รายงานผลประกอบการวันที่ 29 ตุลาคมหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิด)
คาดการณ์การเติบโตของอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้น: -11.3% ปีต่อปี
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขผลกำไร: +11.6% ปีต่อปี
ท่ามกลางไวรัสโรคระบาดและกำไรจากการฝากโฆษณาที่ลดลง บริษัทเฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) เจ้าของสื่อโซเชียลมีเดียชื่อดังยังสามารถทำกำไรได้จากยอดผู้ใช้งาน Facebook, Instagram, Messenger และ WhatsApp ได้อย่างไม่รู้สึกลำบากซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักเพราะทั้งสามแพลตฟอร์มไม่รวมเฟซบุ๊กมียอดผู้ใช้งานรวมแล้วทั้งสิ้นประมาณ 3,140 พันล้านคน
ตั้งแต่ต้นปี 2020 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นเฟซบุ๊กปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้นประมาณ 30% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $284.89 มีมูลค่าตลาดอยูที่ $76,220 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งถือว่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสี่บริษัทที่เราได้เขียนถึงไปก่อนหน้านี้
ถึงจะประสบปัญหาจากโควิดอยู่บ้างแต่เฟซบุ๊กก็ยังสามารถรายงานตัวเลขผลประกอบการเอาชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ไปได้ในไตรมาสที่สอง ดังนั้นครั้งนี้นักวิเคราะห์จึงมองว่าเฟซบุ๊กจะยังสามารถทำผลงานได้เกินคาดการณ์อยู่เช่นเคย ตัวเลขกำไรเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีที่แล้วคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 11.6% เป็น $1,970 ล้านเหรียญสหรัฐแต่ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะลดลง 11.3% จาก $2.12 เหลือ $1.88
เพราะว่าเฟซบุ๊กพึ่งพารายได้จากการฝากโฆษณาเป็นหลัก ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องการทราบตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 และกำไรที่คาดว่าจะทำได้ในไตรมาสที่สี่โดยละเอียด ในไตรมาสที่สองเฟซบุ๊กรายงานการเติบโตของกำไรแบบปีต่อปีได้เพียง 10% ซึ่งในไตรมาสแรกเคยประกาศตัวเลขดังกล่าวเอาไว้ที่ 17% ถือว่าการเติบโตมีการชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ