ในที่สุดบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ก็ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือไอโฟน 12 (iPhone 12) รุ่นใหม่ล่าสุดเสียทีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเจ้ามือถือเรือธงตัวนี้จะสามารถพาหุ้นแอปเปิลกลับเข้าสู่รอบการเติบโตใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้แอปเปิลเปิดตัวมือถือไอโฟน 12 ที่มาด้วยกัน 4 ขนาด 4 ราคาเริ่มต้นได้แก่ ไอโฟน 12 มินิ ขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้วที่ราคาเริ่มต้น $699 ถัดมาเป็นไอโฟน 12 ปกติขนาด 6.1 นิ้วซึ่งแบ่งออกเป็นสองรุ่นในราคาเริ่มต้น $799 และ $999 สำหรับไอโฟน 12 โปร สุดท้ายตัวท๊อปที่สุดอย่างไอโฟน 12 โปร แม็กซ์ ขนาด 6.7 นิ้วและมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $1,099
สิ่งที่แอปเปิลนำเสนอและย้ำอยู่ตลอดการเปิดตัวภายในงานคือไอโฟนทั้งสี่รุ่นสามารถรองรับเทคโนโลยี 5G ได้แล้วซึ่งแอปเปิลอ้างว่าจะมีความเร็วมากกว่าเทคโนโลยี 4G เดิมมากถึงสิบเท่า นอกจากนี้ไอโฟน 12 ยังเปลี่ยนรูปโฉมใหม่โดยเปลี่ยนจากขอบกลมกลับมาเป็นขอบเหลี่ยมเหมือนอย่างเช่นสมัยไอโฟน 4 และไอโฟน 5 ภายในงานเปิดตัวแอปเปิลได้เชิญนายฮาน เวสท์เบิร์ก CEO ของบริษัทเวอไรซอน (NYSE:VZ) มาเป็นผู้ยืนยันด้วยว่าบริการ 5G ของแอปเปิลจะสามารถใช้ได้ใน 60 เมืองของสหรัฐฯ ภายในสิ้นปีนี้และอีก 200 เมืองหลังจากนั้น
“ที่ผ่านมาผู้คนมากมายต่างรอคอยการมาถึงของ 5G และด้วยไอโฟน 12 ที่พึ่งเปิดตัวในวันนี้ การรอคอยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว” CEO ของเวอไรซอนกล่าว
แม้จะมีการเปิดตัวอย่างอลังการแต่หุ้นของแอปเปิลเมื่อวันพุธก็ไม่ได้ดีดตัวขึ้นในทันที กลับกลายเป็นว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงในวันนั้น 0.07% มีราคาปิดอยู่ที่ $121.19 แทน ผิดคาดนักวิเคราะห์ที่เชื่อว่าไอโฟน 5G ของแอปเปิลจะสามารถเรียกเสียงฮือฮาได้ในช่วงสิ้นปี 2020
การตั้งราคาใหม่ทำให้ไอโฟนมีความน่าซื้อเพิ่มขึ้น
ความคาดหวังและความสำเร็จในบริการที่แอปเปิลมีให้กับผู้ใช้งานตลอดมาทำให้แอปเปิลกลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าตลาดรวมสูงถึง $2,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ช่วงต้นปีก่อนการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่เสียอีก ผลสำรวจจาก FactSet เผยว่าตัวเลขคาดการณ์กำไรจากการขายไอโฟนโดยเฉลี่ยในแต่ละปีจะเพิ่มขึ้น 15% เป็น $160,000 ล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ปีบัญชีแรกซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม
นาย Harsh Kumar จากบริษัท Piper Sandler & Co. เขียนในโน๊ตของเขาซึ่งสำนักข่าวบลูมเบิร์กได้รายงานว่า
“การตั้งราคาของแอปเปิลถือเป็นปรากฎการณ์และเป็นมาตรฐานของวงการสมาร์ทโฟนในทุกปี การที่ราคาเริ่มต้นของไอโฟน 12 มินิเปิดตัวมาได้ถูกขนาดนี้ (ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์) กลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญในการเลือกซื้อมือถือท่ามกลางยุคที่การแพร่ระบาดเกิดขึ้นไปทั่วโลกเช่นนี้”
ที่ผ่านมาบริษัทแอปเปิลมีปัญหาในเรื่องของอัตราการเติบโตของบริษัทเนื่องจากผู้ใช้งานเลือกที่จะซื้อครั้งเดียวและใช้ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นแอปเปิลจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการออกไอโฟนใหม่ที่มีราคาถูกลงและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่อยากใช้ไอโฟน ครั้งสุดท้ายที่ตัวเลขกำไรรายไตรมาสของแอปเปิลขึ้นถึงจุดสูงสุดต้องย้อนกลับไปในไตรมาสแรกปี 2018 ในปีนี้แอปเปิลเชื่อว่าการตั้งราคาแข่งขันใหม่ การออกแบบใหม่ในรอบสามปีและเทคโนโลยี 5G จะช่วยให้ผู้บริโภคกล้าซื้อไอโฟนในช่วงโควิด-19
แรงซื้อจากประเทศจีน
นักวิเคราะห์หลายคนเห็นตรงกันว่าไอโฟน 12 จะขายดีเป็นอย่างมากในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ และมีเทคโนโลยี 5G ที่ล้ำหน้ามากกว่าไปแล้ว นาย Dan Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities คาดการณ์ว่ามีผู้ใช้ไอโฟน 350 ล้านจาก 950 ล้านคนที่กำลังจะอัปเกรดขึ้นมาใช้ไอโฟน 12 ในให้สัมภาษณ์กับ CNBC เขากล่าวว่า
“เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูว่ายอดผู้ใช้งานไอโฟน 12 ในปีนี้จะสามารถเอาชนะตัวเลขยอดผู้ใช้งานมากที่สุด 231 ล้านเครื่องในปี 2015 ได้หรือไม่ หากทำได้รับรองว่าสถิตินี้จะถูกจารึกเอาไว้ในหอเกียรติยศของบริษัทในฐานะ “ไอโฟนรุ่นที่สามารถสร้างรอบการเติบโตได้ดีที่สุดตลอดกาล” หากทำไม่ได้ตามนี้เชื่อว่าเราจะได้เห็นราคาหุ้น AAPL ปรับตัวลดลงเอง”
กลยุทธ์ที่น่าจับตาดูอีกอย่างของแอปเปิลในตอนนี้คือความกล้าที่จะขายแยกอุปกรณ์มากยิ่งขึ้นทั้งๆ ที่อยู่ในยุคที่ผู้คนต่างจับจ่ายใช้สอยอย่างประหยัด ในช่วงไม่กี่ปีให้หลังแอปเปิลทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำจากการขายบริการของบริษัทตัวเองและอุปกรณ์อื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ไอโฟนเช่น AirPods และ Apple Watch ในปีนี้แอปเปิลเพิ่มความท้าทายให้ตัวเองด้วยการยกเลิกการแถมหัวชาร์จมากับเครื่องไอโฟนโดยอ้างว่าเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
RBC Securities ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้นแอปเปิลขึ้นจาก $111 เป็น $132 โดยให้เหตุผลว่า
“นอกเหนือจากกำไรและการปันผลต่อหุ้นที่แอปเปิลทำได้ดีมาตลอด ในปีนี้เราจะได้เห็นจริงๆ แล้วว่าเมื่อไอโฟนเหลือแต่ตัว (หมายถึงไม่แถมหัวชาร์จ) บริการอื่นๆ ที่แอปเปิลพยายามหามาอยู่รอบๆ ไอโฟนให้ได้มากที่สุดจะยังสามารถช่วยให้หุ้นของแอปเปิลปรับตัวสูงขึ้นและจะยังรักษาลูกค้าผู้ซื่อสัตย์ไปได้อีกนานแค่ไหน”
โดยสรุปแล้ว
หุ้นของบริษัทแอปเปิลยังคงน่าดึงดูดแม้ว่าปีนี้จะวิ่งขึ้นมาแล้ว 65% นวัตกรรมและการไม่หยุดที่จะพัฒนาคุณภาพบริการและสินค้าสวมใส่คือสิ่งที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับยอดขายและยิ่งทำให้ผู้ใช้ไอโฟนทำใจได้ยากที่จะตัดไอโฟนออกไปจากชีวิตแม้ว่าไอโฟนรุ่นใหม่ที่พึ่งเปิดตัวมาจะไม่ได้มีความตื่นเต้นมากก็ตาม