เป็นที่ทราบกันดีก่อนหน้านี้ว่าธุรกิจดิสนีย์ (NYSE:DIS) บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ของสหรัฐอเมริกาที่นอกจากทำภาพยนตร์แล้วยังมี สวนสนุก รีสอร์ทและโรงภาพยนตร์อยู่ทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากไวรัสโรคระบาดโควิด-19 ล่าสุดสัปดาห์นี้ดิสนีย์พึ่งประกาศว่าจะปลดพนักงานจำนวน 28,000 คนออกเนื่องจากสวนสนุกในสหรัฐฯ เช่น ดิสนีย์เวิลด์ ดิสนีย์แลนด์ในรัฐแคลิฟอร์เนียยังคงต้องหยุดให้บริการตามคำสั่งของรัฐและที่ฟลอริด้าก็ถูกจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการ มาตรการเหล่านี้สร้างความเจ็บปวดให้กับดิสนีย์เป็นอย่างมาก
นาย Josh D’Amaro ประธานผู้ดูแลกิจการสวนสนุกของดิสนีย์เขียนถึงพนักงานว่า “นี่คือการตัดสินใจที่เจ็บปวดที่สุด แต่บริษัทมีทางเลือกอยู่อย่างจำกัดมากเพื่อจะประคองดิสนีย์ให้รอดจากเงื้อมมือปิศาจโควิด-19 ไปให้ได้” ในปี 2019 ธุรกิจสวนสนุกเหล่านี้เคยสามารถทำกำไรให้ดิสนีย์มากถึง 37% ยิ่งอนาคตยังไม่มีความชัดเจน ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างรู้สึกเป็นกังวลและสถานการณ์ของดิสนีย์ก็แย่ลงเรื่อยๆ ในทุกๆ วันที่ผ่านไป
ในเดือนสิงหาคมบ้านแห่งมิกกี้เมาส์ได้ประกาศตัวเลขผลประกอบการที่ขาดทุนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2001 ข้องมูลจาก FactSet เปิดเผยว่าดิสนีย์ขาดทุนไป $5,000 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับกำไรที่ $1,430 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 กำไรรวมทั้งหมดที่ดิสนีย์ทำได้ลดลง 42% เหลือ $1,180 ล้านเหรียญสหรัฐและในไตรมาสล่าสุดก็ขาดทุนไป $567 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าภาพรวมแล้วดิสนีย์ในตอนนี้จะมีแต่เมฆดำปกคลุมแต่หุ้นของบริษัทกลับยังไม่ได้เสียทรงขาขึ้นมากนัก หลังจากร่วงลงไป 40% ในช่วงเดือนมีนาคม ตอนนี้หุ้นดิสนีย์ก็สามารถกลับขึ้นได้จากจุดนั้น 50% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $123.31 ปรับตัวลดลง 16 % ตลอดทั้งปี 2020
ความหวังท่ามกลางความมืดมน
ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่ดิสนีย์มีในตอนนี้คือการตัดสินใจถูกต้องที่เปิดตัวบริการภาพยนตร์สตรีมมิ่ง “ดิสนีย์+” ได้ในช่วงปลายปี 2019 ก่อนที่โควิดจะมา ตอนนี้ดิสนีย์+ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกภายในประเทศสหรัฐอเมริการวมแล้ว 60 ล้านคนนับตั้งแต่วันเปิดตัวซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งคนสำคัญอย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) แล้วต้องใช้เวลานานถึง 8 ปีจึงจะสามารถสร้างตัวเลขเดียวกันได้ นี่คือความโชคดีอย่างหนึ่งที่ได้แรงหนุนมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงวิกฤตโรคระบาด
ตอนนี้ดิสนีย์มีแผนจะฉาย “แฮมิลตัน (Hamiltion)” เร็วกว่าที่วางแผนไว้และเมื่อเดือนที่แล้วก็พึ่งฉาย “มู่หลาน” ไปหลังจากที่เจออุปสรรคจนต้องเลื่อนการฉายอยู่หลายรอบบนดิสนีย์+ นายไบรอัน คราฟ นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank เขียนลงในโน๊ตถึงลูกค้าและปรับหุ้นดิสนีย์ให้มาอยู่ในระดับ “ซื้อได้” ว่า
“ดิสนีย์ประสบความสำเร็จในขั้นตอนการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงและมีเส้นทางที่ชัดเจนมากในการเปลี่ยนธุรกิจโปรแกรมความบันเทิงทั่วไป นอกจากนี้ดิสนีย์ยังเข้าใจผลิตคอนเทนต์ให้ประสบความสำเร็จที่จะนำไปสู่การเป็นผู้นำด้านความบันเทิงแบบสตรีมมิ่งทั่วโลก การขยายตลาดโดยตรงไปยังผู้บริโภคในช่วงที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์สตรีมมิ่งกำลังเติบโตนี้ถือเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของดิสนีย์ เพราะจะช่วยผลักดันโอกาสสำคัญในการสร้างรายได้จากฐานผู้ติดตามจำนวนมากในสหรัฐฯ ไปสู่ฐานผู้ติดตามอื่นๆ ทั่วโลก”
ล่าสุดโกลด์แมน แซคส์พึ่งออกมาเขียนในโน๊ตถึงนักลงทุนว่า “นักลงทุนประเมินความแข็งแกร่งของบริการดิสนีย์+ ต่ำไป” พร้อมยังคาดการณ์อีกด้วยว่าจำนวนสมาชิกดิสนีย์+ จะมีมากถึง 150 ล้านคนภายในปี 2025
“ทุกคนมองดิสนีย์ราวกับว่าดิสนีย์จะไม่มีโอกาสฟื้นอีกแล้ว อย่าลืมสิว่าดิสนีย์ยังมีสวนสนุก ภาพยนตร์ รีสอร์ทที่จะกลับมาได้ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 อีกนะ” นายเบรทท์ เฟลด์แมน นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์บอกกับลูกค้า
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บางส่วน (ส่วนใหญ่ด้วย) กำลังกังวลว่าบาดแผลครั้งนี้จะกลายเป็นแผลเป็นสำหรับดิสนีย์ หากดีสนีย์แลนด์หรือรีสอร์ทไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย ดิสนีย์อาจต้องเปลี่ยนไปทำกำไรด้วยรูปแบบอื่น นักวิเคราะห์ 15 จาก 30 คนให้หุ้นดิสนีย์อยู่ในระดับ “ซื้อได้” 12 คนแนะนำให้ถือเอาไว้ก่อนและอีก 3 คนแนะนำให้ขาย ราคาเป้าหมายเฉลี่ยของหุ้นดิสนีย์ภายในระยะเวลา 12 เดือนมีตัวเลขอยู่ที่ $135
โดยสรุปแล้ว
เพราะดิสนีย์เป็นบริษัทที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานและมีสินทรัพย์ที่เป็นสื่อความบันเทิงมากมายอยู่ในหลายภาคส่วน ดังนั้นทันทีที่โควิดถูกควบคุมได้แล้วหุ้นดิสนีย์ก็สามารถกลับมาได้ไม่ยาก สังเกตได้จากราคาหุ้นที่ไม่ได้ตกลงมากแม้มีข่าวปลดพนักงานเพิ่มเข้ามาซ้ำ ดังนั้นนักลงทุนที่มองอนาคตไปข้างหน้าประมาณ 3-5 ปีควรรออีกนิดเพื่อให้ได้จุดเข้าที่สวยกว่านี้