มาถึงสัปดาห์แห่งการเปลี่ยนผ่านจากเดือนกันยายนเข้าสู่เดือนที่เป็นเหมือนประตูสู่ไตรมาสที่สี่อย่างตุลาคมกันแล้ว ตลาดหุ้นในช่วงสองเดือนล่าสุดนี้ถือเป็นหนังคนละม้วนกันอย่างสิ้นเชิงเพราะในขณะที่เดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่นักลงทุนต่างมีความสุขกันสนุกสนานแต่พอมาถึงเดือนกันยายนกลับเป็นเดือนที่ดูเหมือนว่าบรรยากาศการลงทุนจะซึมลงไป ที่สำคัญความเสี่ยงในตลาดลงทุนยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเมื่อโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งในหลายประเทศและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเรียกได้ว่าเหลืออีกหนึ่งเดือนเต็มเท่านั้นก็คงจะไม่ผิดนัก
นี่คือสองปัจจัยหลักที่นักลงทุนต้องจับตาดูในตลาดลงทุนให้ดีเมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคมเพราะการเลือกตั้งแต่โควิดคือสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนเลือกที่จะขอรอดูอยู่ข้างสนามรบไปก่อน อันที่จริงแล้วความเข้มข้นทางการเมืองสหรัฐฯ จะเริ่มต้นหลังจากผ่านคืนแห่งการโต้วาทีระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กับผู้ท้าชิงนายโจ ไบแดนในคืนนี้เลย
เมื่อพูดถึงเดือนกันยายนปี 2020 ที่กำลังจะผ่านไปตลาด NASDAQ ซึ่งเป็นที่อยู่ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีคือผู้ที่เคยนำตลาดมากที่สุดเมื่อเทียบกลับตลาดอื่นๆ และในเวลาเดียวกันก็เป็นตลาดที่เสียหายจากขาลงมากที่สุดในเดือนนี้ด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่ต้นเดือนมาจนถึงปัจจุบัน NASDAQ ปรับตัวลดลง 7.2% เมื่อเทียบกับดัชนีหลักอื่นๆ อย่างดาวโจนส์ที่ปรับตัวลดลง 4.42% ในขณะที่ S&P 500 ปรับตัวลดลง 5.77%
นั่นคือภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้น ในบทความนี้เราจะพาผู้อ่านไปเจอกับข้อมูลของ 3 หุ้นที่น่าสนใจซึ่งเรานำมาฝากกันทุกๆ ต้นสัปดาห์
1. Micron Technologies
บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ไมครอน เทคฯ (NASDAQ:MU) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่สี่ปี 2020 ในวันนี้หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทไมครอนจะสามารถมีตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.98 และมีตัวเลขผลกำไรอยู่ที่ $5,890 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทผู้ผลิตชิปหน่วยความจำที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ กล่าวเมื่อเดือนสิงหาคมว่าภาพรวมความต้องการยังคงแย่และอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวเลขผลประกอบการจะขึ้นถึงตัวเลขคาดการณ์เพราะวิกฤตโควิด-19
ชิปคอมพิวเตอร์ของไมครอนคือชิ้นส่วนสำคัญสำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกประเภทในตลาดทุกวันนี้ตั้งแต่แล็ปท๊อป ที่เก็บรวบรวมข้อมูลในสมาร์ทโฟนไปจนถึงคอมพิวเตอร์เซิฟเวอร์ ปัจจุบันบริษัทไมครอนคือคู่แข่งของบริษัทมือถือชื่องดังของประเทศเกาหลีใต้อย่างซัมซุง (OTC:SSNLF)ในแง่ของการพัฒนาชิปประมวลความจำ อย่างไรก็ตามจากความต้องการของตลาดที่ไม่แน่นอน หุ้นของบริษัทไมครอนในปีนี้ทำผลงานได้แย่กว่าบริษัทผู้ผลิตชิปฯ อื่นๆ ตลอดทั้งปีหุ้นไมครอนปรับตัวลดลง 9% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $49.72
2. PepsiCo
บริษัทเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มชื่อดังเป๊ปซี่ (NASDAQ:PEP) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจะมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.48 และมีตัวเลขยอดขายอยู่ที่ $17,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม บริษัทเป๊ปซี่สามารถรายงานตัวเลขยอดขายได้มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เพราะผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์ของเป๊ปซี่ไปตุนเอาไว้ในช่วงโควิด นอกจากนี้บริษัทยังมีฐานรองรับที่แน่นเพราะกระจายความเสี่ยงไปยังเครื่องดื่มและขนมหลายยี่ห้อซึ่งล้วนแล้วแต่ขายดีทั้งสิ้นเช่น Tostitos, Fritos, Ruffles และ Cheetos
ในไตรมาสที่สองบริษัทเป๊ปซี่โคสามารถมีตัวเลขการเติบโตที่สูงมากจนกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น 23% ในไตรมาสนั้นแม้ว่ายอดขายของเครื่องดื่มจะลดลงเพราะผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการออกไปรับไปรับประทานอาหารนอกบ้าน หลังจากฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของเดือนมีนาคมได้ หุ้นเป๊ปซี่โคสามารถปรับตัวขึ้นมา 11% ได้ในระยะเวลาหกเดือน มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $137.97
3. Bed Bath & Beyond
บริษัทค้าปลีกเครื่องใช้ภายในบ้านยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เบธ บาธ แอนด์ บียอนด์ (NASDAQ:BBBY) หรือ “บีบีบีวาย” จะรายงานผลประกอบการไตรมาสสองแบบปีบัญชีในวันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าบีบีบีวายจะมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.3 ต่อหุ้นและมียอดขายในไตรมาสนี้อยู่ที่ $2,630 ล้านเหรียญสหรัฐ
บีบีบีวายกำลังอยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านโครงสร้างทางธุรกิจเพื่อที่จะเอาตัวรอดในยุคที่ใครๆ ก็เปลี่ยนตัวเองเพื่อเข้าหาโลกออนไลน์ บริษัทกำลังสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างจริงจังเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตและยอดขายในสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน ผลิตภัณฑ์เด็ก ฯลฯ บีบีบีวายกล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมว่าร้านค้าปลีกที่ปิดไปในช่วงโควิดเกือบทุกร้านได้กลับมาเปิดให้บริการแล้ว ตอนนี้บริษัทมีแผนที่จะเก็บเงินให้ได้ $350 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อแผนปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจใหม่และภายในสองปีข้างหน้าบีบีบีวายมีแผนที่จะลดจำนวนสาขาลง 200 สาขา
รายงานผลประกอบการครั้งนี้จะสามารถบอกให้นักลงทุนทราบข้อมูลเชิงลึกได้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับบ้านเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังจากการกลับมาเปิดเมืองและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในรอบหกเดือนล่าสุดหุ้นบีบีบีวายปรับตัวขึ้นมาประมาณ 200% มีราคาปิดล่าสุด $14.88