รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

หุ้นของใครตอนนี้น่าซื้อมากกว่ากันระหว่าง Amazon และ Microsoft?

โดยInvesting.com
ผู้เขียนHaris Anwar
เผยแพร่ 23/09/2563 17:56
อัพเดท 02/09/2563 13:05

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญกับตลาดลงทุนอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนตอนนี้นักลงทุนบางคนได้มองหุ้นเทคโนโลยีเป็นหุ้นสำหรับการตั้งรับในพอร์ตการลงทุนไปแล้วเพราะหุ้นเทคฯ สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย ผลประกอบการสองไตรมาสล่าสุดก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการมีหุ้นเทคโนโลยีไว้ในมือช่วงให้พอร์ตการลงทุนปลอดภัยได้อย่างไร

แม้ว่าล่าสุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะปรับตัวลดลงมาไม่ว่าจะด้วยสาเหตุขึ้นมามากเกินไปหรืออะไรก็ตาม ตอนนี้นักลงทุนได้มองการวิ่งลงครั้งนี้ว่าเป็นการย่อเพื่อหาจุดเข้าซื้อที่ดีกว่าและนั่นทำให้เมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปรับตัวกลับขึ้นมาได้อีกครั้งซึ่งนำโดยหุ้นเทคโนโลยีอีกแล้ว ดังนั้น“หุ้นเทคโนโลยีที่ตอนนี้ควรถือไว้ในระยะยาว?” เราจึงได้นำข้อมูลล่าสุดของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดสูงเกิน $1,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐอย่างแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) และไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) มาให้ผู้อ่านพิจารณา

Amazon

ไม่ต้องแนะนำตัวกันให้มากความสำหรับบริษัทค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาและของโลกอย่างแอมาซอนคือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมและได้รับแรงซื้อถาโถมเข้ามาอย่างมหาศาลในช่วงโควิดที่ผู้บริโภคถูกบังคับให้อยู่กับบ้าน 

โครงสร้างทางธุรกิจของแอมาซอนถูกวางมาให้อยู่ในจุดที่สามารถขยายอาณาจักร E-commerce เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ ยิ่งคนค้นหาสินค้าและทำการซื้อขายบนแพลตฟอร์มของแอมาซอนมากเท่าไหร่หุ้นของบริษัทก็มีแต่จะยิ่งปรับตัวสูงขึ้นๆ เท่านั้น ล่าสุดหุ้นแอมาซอนพึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบเป็นสองเท่าแล้วในช่วงต้นเดือนกันยายน

อย่างไรก็ตามขาขึ้นของหุ้นแอมาซอน (รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีอื่น) ได้แสดงให้เห็นถึงขาขึ้นที่ขึ้นมาสูงเกินไปในช่วงต้นเดือนซึ่งส่งผลให้หุ้นแอมาซอนปรับตัวลดลงประมาณ 14% จากจุดสูงสุดล่าสุดจนนำไปสู่การตั้งคำถามของนักลงทุนว่านี่ใช่เวลาที่เหมาะสมแก่การกลับเข้าไปซื้อหุ้นได้แล้วหรือไม่หรือควรรอต่อไปอีกสักระยะ ในระยะสั้นเรายอมรับว่ามองยากมากว่าราคาจะวิ่งไปในทิศทางไหนแต่หากพิจารณาจากโมเดลธุรกิจของบริษัทแล้วก็ไม่ต้องคิดให้ยากเลยว่าแอมาซอนจะเป็นบริษัทที่มีอนาคตต่อไปหรือไม่ในโลกที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคออนไลน์เต็มรูปในอีกไม่เกินสองปีข้างหน้าAMZN Weekly TTM

จุดแข็งที่สุดอย่างหนึ่งของแอมาซอนก็คือการเป็นสมาชิกแบบชำระเงินหรือที่เรียกกันว่า “แอมาซอน พราม (Amazon Prime)” สมาชิกแอมาซอน พรามจะได้เพลิดเพลินไปกับเงื่อนไขส่วนลดในการซื้อของหลายอย่างและยังมีสิทธิ์ในการรับชมภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์และฟังเพลงผ่านระบบของแอมาซอน เมื่อก่อนแอมาซอนทำได้เพียงเก็บเงินจากผู้ที่สนใจในหนังสือและภาพยนตร์เท่านั้นแต่ด้วยแอมาซอน พรามทำให้ตอนนี้มีคนเต็มใจยอมเป็นสมาชิกมากกว่า 150 ล้านคน

คนที่รู้จักแอมาซอนแค่ผิวเผินจะคิดว่าแอมาซอนได้กำไรหลักๆ มาจากการเปิดพื้นที่ให้ซื้อขายสินค้าออนไลน์ แต่ความจริงแล้วตอนนี้แอมาซอนถือเป็นบริษัทที่ใช้ระบบคลาวด์เป็นโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทและสิ่งที่ทำเงินให้กับแอมาซอนได้มากที่สุดคือแพตฟอร์มที่นำเสนอบริการเต็มรูปแบบมากกว่า 175 บริการหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “AWS”

ด้วยความแข็งแกร่งนี้ทำให้นักวิเคราะห์จาก 36 สถาบันการเงินแนวหน้าของสหรัฐอเมริกาต่างยกหุ้นแอมาซอนให้อยู่ในระดับ “น่าซื้อ” ล่าสุด TipRanks.com และ Bernstein พึ่งปรับอันดับความน่าซื้อของหุ้นแอมาซอนขึ้นเมื่อวานนี้เองโดยทาง Bernstein ให้เหตุผลว่า

“ใครก็ตามที่ตกรถไปในช่วงเดือนมีนาคมตอนนี้คือโอกาสของคุณแล้ว โควิดคือปัจจัยหลักที่ผลักดันให้โลกเข้าสู่ยุคดิจิทัลเร็วขึ้นและแอมาซอนก็เป็นบริษัทที่ทำงานโดยพึ่งพาระบบดิจิทัลอยู่เบื้องหลังเป็นหลักตั้งแต่ก่อนโควิดแล้ว ยิ่งโควิดทำลายธุรกิจค้าปลีกในโลกยุคเก่าลงไปมากเท่าไหร่ผู้บริโภคผู้ภักดีของบริษัทเหล่านั้นก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากหาแหล่งที่ซื้อสินค้าใหม่ซึ่งนั่นก็คือแอมาซอน”

Microsoft

หุ้นของบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟต์สามารถทำผลงานขาขึ้นได้อย่างยอดเยี่ยมมาตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม ยิ่งนักลงทุนเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีและบริการจากคลาวด์มากขึ้นเท่าไหร่ในช่วงโควิดก็ยิ่งทำให้หุ้นของไมโครซอฟต์เติบโตมากขึ้นเท่านั้น

ยอดขายของผลิตภัณฑ์บริการผ่านคลาวด์ตัวหนึ่งของไมโครซอฟต์ที่มีชื่อว่า “อาชัวร์ (Azure)” สามารถสร้างกำไรให้กับไมโครซอฟต์ในไตรมาสที่สองเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 47% ที่สำคัญบริษัทยังมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 59% และเมื่อเทียบอัตราการเติบโตนี้แบบไตรมาสต่อไตรมาสในช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้วพบว่าเพิ่มขึ้น 64%

ช่วงก่อนหน้านี้ที่หุ้นเทคโนโลยีพากันปรับตัวลดลงหุ้นของไมโครซอฟต์ก็ได้ปรับฐานลงมา 13% จากจุดสูงสุดล่าสุดและดูเหมือนว่าหากทั้งตลาดยังจะปรับฐานลงต่อหุ้นไมโครซอฟต์ก็จะสามารถปรับตัวลงไปได้อีกMicrosoft 1-Year Chart.

ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ยังมองว่าหุ้นไมโครซอฟต์ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ปลอดภัยและน่าลงทุนที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยีและยิ่งน่าซื้อมากขึ้นไปอีกเมื่อมีราคาที่ถูกลง เหตุผลที่เราชื่นชมหุ้นไมโครซอฟต์มากขนาดนี้นั้นง่ายมากเพราะที่ผ่านมาตลอด 10 ปีการตัดสินใจของไมโครซอฟต์นั้นถูกต้องอยู่เสมอ ความกล้าที่จะขยับนับว่าดีแล้วแต่การที่บริษัทสามารถขยับได้อย่างถูกต้องย่อมดียิ่งกว่า เหตุผลเท่านี้ก็เพียงพอแล้วกับการตัดสินใจเลือกหุ้นของไมโครซอฟต์

ตั้งแต่ห้าปีที่แล้วหลังจากได้บริษัทได้นายสัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) มาดำรงตำแหน่ง CEO ไมโครซอฟต์ก็ได้เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งใหม่ที่ดูทันยุคทันสมัยขึ้นมาอย่างสังเกตได้ จากบริษัทที่เคยพึ่งพายอดขายจากระบบปฏิบัติการวินโดว์และชุดโปรแกรมสำหรับคนทำงานอย่างออฟฟิศ ตอนนี้ไมโครซอฟต์กลายเป็นผู้เล่นในตลาดคลาวด์คนสำคัญที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุดจนมูลค่าตลาดของไมโครซอฟต์เป็นรองแค่เพียงแอมาซอนเท่านั้น

นักวิเคราะห์จากธนาคารสำหรับการลงทุนชื่อดังมอร์แกน สแตนลีย์พึ่งปรับระดับเป้าหมายราคาหุ้นไมโครซอฟต์ขึ้นจาก $230 ขึ้นเป็น $245 ยิ่งเมื่อพิจารณาจากอัตราการเติบโตของตัวเลขผลประกอบการที่ว่ากันว่าอยู่ในช่วง “วัยรุ่นกลางๆ” ของไมโครซอฟต์ด้วยแล้วยิ่งทำให้นักวิเคราะห์มองผลตอบแทนจากหุ้นไมโครซอฟต์ว่าเป็นอะไรที่ “มั่นคงและน่าดึงดูด” ในช่วงวิกฤตโรคระบาดนี้

นอกจากนี้การปันผลของบริษัทไมโครซอฟต์ก็มีประวัติที่ดีเสมอมา ตั้งแต่ปี 2004 ตอนที่บริษัทเริ่มปันผลแก่นักลงทุนเป็นครั้งแรก จากตอนนั้นถึงตอนนี้ยอดเงินปันผลสูงขึ้นกว่าเดิมถึงสี่เท่า เปอร์เซนต์การปันผลรายปีมีตัวเลขอยู่ที่ 1.11% และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นรายไตรมาสอยู่ที่ $0.56

โดยสรุปแล้ว

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลงมาเช่นความกังวลเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดรอบที่สองหรือราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นมาสูงเกินไปจนทำให้หุ้นแอมาซอนและไมโครซอฟต์ย่อลงมา เรามองว่านี่คือโอกาสดีในการช้อนซื้อหุ้นทั้งสอง นอกจากจะสามารถวิ่งชึ้นจนชดเชยขาลงของปีนี้ได้จนหมดสิ้นแล้วทั้งแอมาซอนและไมโครซอฟต์ต่างอยู่ในจุดที่พร้อมเติบโตไปข้างหน้ากับโลกที่เปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิทัล

ความคิดเห็นล่าสุด

👍🏻
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย