น่าจะเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์แห่งความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแม้แต่บริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ยังไม่ฟื้น ยิ่งเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นยิ่งทำให่นักลงทุนเชื่อจริงๆ ว่าสาเหตุของการปรับตัวลงในหุ้นกลุ่มนี้มาจากราคาซื้อขายที่อยู่สูงเกินไปและเศรษฐกิจของประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีที่นักลงทุนใช้วัดภาพรวมตลาดหุ้นเป็นหลักปรับตัวลดลง 0.7% ในขณะที่ตลาด NASDAQ ศูนย์รวมของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลง 0.6% ถือเป็นขาลงสามสัปดาห์ติดต่อกันและกลายเป็นสถิติขาลงติดต่อกันที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019
หลังจากได้ฟังแถลงการณ์จากธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้นักลงทุนกำลังพิจารณาหาหนทางการลงทุนใหม่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ในระต่ำเช่นนี้ไปอีกนานและอาจมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีกหากเห็นว่าจำเป็น แต่ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอนเช่นนี้เราก็ยังมี 3 หุ้นที่น่าสนใจนำมาฝากคุณผู้อ่านอีกเช่นเคย
1. Nike
บริษัทแบรนด์เจ้าของผลิตภัณฑ์กีฬาชั้นนำไนกี้ (NYSE:NKE) จะรายงานตัวเลขผลประกอบการแบบปีบัญชีประจำไตรมาสที่หนึ่งของปี 2021 ในวันอังคารที่ 22 กันยายนหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด โดยเฉลี่ยแล้วนักวิเคราะห์คาดว่าไนกี้จะสามารถรายงานตัวเลขยอดขายออกมาที่ $8,890 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.44 ต่อหุ้น
ในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญคือตัวเลขยอดขายจาก E-commerce เพราะจากรายงานครั้งก่อนในไตรมาสที่สี่พบว่ายอดขายจากออนไลน์ของไนกี้เติบโตได้มากกว่า 75% แม้ว่าโดยภาพรวมแล้วรายงานผลประกอบการในไตรมาสก่อนหน้าจะลดลงเพราะวิกฤตโควิดทำให้ร้านค้าของไนกี้ต้องหยุดให้บริการชั่วคราวแต่ยอดขายทางออนไลน์กลับเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
แม้ว่าจะมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อร้านค้าปลีกไนกี้ที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วโลกแต่นักวิเคราะห์ก็ยังเชื่อมั่นว่าบริษัทผู้ผลิตรองเท้าแอร์ จอร์แดนยังมีศักยภาพมากพอที่จะเติบโตได้ในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับตัวเข้าหาโลกออนไลน์และสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันหุ้นไนกี้มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $114.66 ปรับตัวลดลงมา 1.46% คิดเป็นการปรับตัวขึ้นตลอดทั้งปี 2020 ทั้งสิ้น 14% สามารถชดเชยมูลค่าหุ้นที่เสียไปในช่วงโควิดระบาดได้หมด
2. Oracle
หุ้นของบริษัทออราเคิล (NYSE:ORCL) และวอลล์มาร์ท (NYSE:WMT) จะต้องมีความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญแน่นอนในวันนี้หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดให้ทำการซื้อขาย นับตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้วมาจนถึงสุดสัปดาห์ไม่มีข่าวไหนเป็นที่พูดถึงไปมากกว่าการจะแบนหรือไม่แบนแอปพลิเคชันสัญชาติจีนติ๊กตอก (TikTok) และวีแชท (WeChat) จนในที่สุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็ยอมให้ดีลนี้ผ่านโดยที่มีบริษัทออราเคิลและวอลล์มาร์ทเป็นผู้ถือหุ้นในติ๊กตอก
บริษัท ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของติ๊กตอกพยายามที่จะทำทุกอย่างให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมรับการซื้อขายติ๊กตอกครั้งนี้ให้ได้ ถึงกระนั้นทรัมป์ก็ต้องการดูตัวเลขยอดขายจากบริการของติ๊กตอกในเดือนสิงหาคมเพราะยังเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับการโจรกรรมข้อมูลซึ่งถูกใช้เป็นประเด็นโจมตีบริษัทจากประเทศจีนมาโดยตลอด
รายละเอียดของการเซ็นสัญญาครั้งนี้ระบุว่าออราเคิลจะมีหุ้นอยู่ในบริษัท “ติ๊กตอก โกลบอล (TikTok Global)” 12.5% ส่วนวอลล์มาร์ทจะเข้ามาช่วยในเรื่องของการโปรโมทผ่าน E-commerce รวมถึงอำนวยความสะดวกในเรื่องของระบบชำระเงิน การบริการต่างๆ และมีหุ้นอยู่ในบริษัท 7.5% ปัจจุบันราคาซื้อขายของหุ้นออราเคิลมีราคาอยู่ที่ $59.75 หลังจากก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลง 1% ตลอดระยะเวลาหกเดือนล่าสุดหุ้นออราเคิลปรับตัวขึ้นมาแล้ว 26%
อนึ่ง ติ๊กตอกคือแพลตฟอร์มที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถมาโพสต์แชร์วิดีโอของตัวเองสั้นๆ ซึ่งได้รับความนิยมและเติบโตอย่างรวดเร็วมากในสหรัฐอเมริกา ในปี 2018 แอปพลิเคชันติ๊กตอกยังมีผู้ใช้งานในอเมริกาอยู่ที่ 11 ล้านคนจนมามีตัวเลขเป็น 100 ล้านคนในปัจจุบัน
3. Costco
ในวันพฤหัสบดีของสัปดาห์นี้ภาคการค้าปลีกจะเป็นที่จับตามองของตลาดอีกครั้งเมื่อห้างค๊อซทโก (NASDAQ:COST) จะรายงานตัวเลขผลประกอบการแบบปีบัญชีในไตรมาสที่สี่ปี 2020 ในวันที่ 24 กันยายนหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าห้างชื่อดังจะสามารถทำยอดขายได้ $5,206 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.83 ต่อหุ้น ในช่วงโควิดที่ผ่านมาค๊อซทโกได้ประโยชน์จากความกลัวของผู้บริโภคเป็นอย่างมากเมื่อพวกเขาเลือกที่จะซื้อตุนสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเอาไว้
เมื่อช่วงเวลาแห่งความวิตกจบลงเชื่อว่าผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดน่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ถึงกระนั้นบริษัทอาจจะสามารถมียอดขายเพิ่มขึ้นได้อยู่จากการนำเงินที่ภาครัฐแจกให้มาจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นค๊อซทโกปรับตัวขึ้นมากกว่า 14% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $335.96 หลังจากก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลง 1% หากจะให้หุ้นของค๊อซทโกปรับตัวขึ้นต่อ การรายงายผลประกอบการครั้งนี้ตัวเลขจะต้องออกมาสานต่อความสำเร็จจากตัวเลขครั้งก่อนให้ได้