สายการผลิตอาจต้องหยุดชะงัก ทิปโก้แอสฟัลท์ (BK:TASCO) ประกาศยกเลิกการซื้อน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอล่าตั้งแต่เดือน พ.ย. 63 เป็นต้นไป ส่งผลให้โรง กลั่น Kemaman ในประเทศมาเลเซียต้องหยุดำเนินการชั่วคราว จนกว่าบริษัทจะสามารถหาน้ำมันดิบ ชนิดอื่นมาทดแทน หลังมีการขอความร่วมมือจากทางการสหรัฐฯ ให้บริษัทยกเลิกทำธุรกิจกับประเทศเวเนซูเอลา โรงกลั่นแห่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้น้ำมันดิบจากเวเนซูเอลาสูงถึง 90% ของน้ำมันดิบที่ใช้ทั้งหมด
โดยปกติ TASCO จะมีผลผลิตยางมะตอยราว 2.0 – 2.2 ล้านตันต่อปี แบ่งเป็น 1.0 – 1.1 ล้าน ตันที่มาจากขั้นตอนการผลิตของโรงกลั่นในมาเลเซีย (หรือคิดเป็น 50% ของผลผลิตทั้งหมด) และอีก 1.0 – 1.1 ล้านตันมาจากการซื้อขายจากโรงกลั่นในภูมิภาคแล้วขายให้กับกลุ่มลูกค้าของบริษัท ตลาดในประเทศซึ่งมีมาร์จิ้นสูงได้รับผลกระทบอย่างจำกัด เนื่องจากบริษัทซื้อผลผลิตยางมะตอยจากโรงกลั่นในประเทศแล้วขายให้กลุ่มลูกค้า โดยปกติยอดขายในประเทศอยู่ราว 400,000 – 500,000 ตันต่อปี (มีสัดส่วนรายได้ราว 30 – 40% ของรายได้ทั้งหมด) ขณะที่ยอดขายในตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 1.5 – 1.8 ล้าน ตันต่อปี(มีสัดส่วนรายได้ราว 60 – 70% ของรายได้ทั้งหมด) ซึ่งการปิดโรงกลั่นในมาเลเซียจะกระทบต่อ ยอดขายในต่างประเทศโดยตรง คิดเป็นประมาณ 0.8 –1.1 ล้านตันต่อปีที่หายไป
แผนสำรองต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล แนวทางลดความเสี่ยงเบื้องต้นจากบริษัท คือ 1) ซื้อน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลาให้มากที่สุดภายใน ระหว่างนี้ก่อนถึง deadline ในเดือน พ.ย. 63 นี้ 2) อยู่ระหว่างการศึกษาแหล่งน้ำมันดิบจากภูมิภาค ประมาณ 13 ชนิดมาผสมเพื่อยืดอายุการใช้งาน 3) อยู่ระหว่างติดต่อซื้อน้ำมันดิบจาก Trading Company แทนการซื้อโดยตรงจากประเทศนั้นๆ ซึ่งน้ำมันดิบที่ซื้อจาก Trading Company จะมีราคาสูงกว่าและให้ Yield ที่ต่ำกว่าจากราว 70% เหลือเพียง 50 – 60% เท่านั้น 4) บริษัทผลิตยางมะตอยได้จำกัด จึงต้องเลือกกลุ่มลูกค้า retails ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่า wholesales ปัจจุบัน ขยายไปแล้วมากถึง 8 ประเทศ อาทิ อินโดนีเซีย, ลาว และจีน เป็นต้น 5) ส่งเสริมการขายสินค้า Premium products ซึ่งมีมาร์จิ้นสูง และ 6) กลุ่มธุรกิจ ก่อสร้างจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศ นอกจากนี้ ผู้บริหารยังคงมุมมองบวกต่อราคา ยางมะตอยที่ยังคงในระดับสูง ซึ่ง Supply ที่ลดลงจากการหยุดสายการผลิตของ TASCO จะถูกชดเชยด้วย บริษัทที่มีศักยภาพสูงในภูมิภาค เช่น ประเทศจีน เป็นต้น
ปรับประมาณการและราคาเป้าหมายลง เรายังคงประมาณการปี 2563 ที่ 2,024 ลบ. (-17.4%YoY) เนื่องจาก บริษัทยังคงสัญญาเช่า Floating storage ไปจนถึงเดือน ก.พ. 64 และ มีสต๊อกน้ำมันดิบที่สามารถผลิตได้จนถึง 1Q64 (ในกรณีที่ใช้สต๊อก น้ำมันดิบที่มีอยู่จนหมดและไม่มีน้ำมันจากแหล่งอื่นมาชดเชย) อย่างไรก็ตาม เราปรับประมาณการกำไร ปกติปี 2564 ลง 50% เป็น 1,504 ลบ. (-25.7%YoY) เนื่องจากปริมาณการขายยางมะตอยลดลงจากปกติที่ 2.0 –2.2 ล้านตันต่อปี เหลือเพียง 1.0 –1.2 ล้านตันต่อปี ส่งผลให้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 12.4 บาทต่อหุ้น อิงที่ PER ที่ 13.0x จาก 16.4x เนื่องจาก Yield ที่ได้จาก Supply รายใหม่ต่ำกว่า รวมทั้งมี ต้นทุนผลิตที่สูงกว่า กระทบอัตรากำไรขั้นต้นในระยะยาว จึงลดคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “ขาย” ด้วยราคา เป้าหมายที่ 12.40 บาทต่อหุ้น
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities