ในขณะที่มีการเทขายหุ้นในหลายอุตสาหกรรมและนักลงทุนมากมายพยายามหาจุดปลอดภัยนั้น หุ้นเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดในตลาดทั้งหมดหลังจากการดีดตัวขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงเดือนที่ผ่านมาจนมูลค่าหุ้นกลุ่มนี้สามารถขึ้นไปถึงระดับที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็นมาตั้งแต่ในยุคดอทคอม
และสำหรับการปรับฐานในครั้งนี้ บริษัท Apple ผู้ผลิตไอโฟน (NASDAQ:AAPL) ได้อยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยงมากกว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อีกสองเจ้าอย่าง Amazon (NASDAQ:AMZN) และ Microsoft (NASDAQ:MSFT)
ต่อไปนี้คือการสรุปสามปัจจัยเสี่ยงต่อหุ้น Apple หลังจากดีดตัวขึ้นสูงมากกว่า 80% ในช่วงเดือนมีนาคมถึงวันที่ 1 กันยายนซึ่งเป็นช่วงที่กราฟขาลงได้เริ่มต้นขึ้น หุ้นของ Apple หดตัวลงกว่า 16% แล้วตั้งแต่เวลานั้นและปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ $117.32 เหรียญสหรัฐฯ
1. ยอดขายขึ้นยังขึ้นอยู่กับไอโฟนอยู่
หนึ่งในสาเหตุหลักที่นักลงทุนยังตื่นเต้นกับ Apple อยู่ก็คือความสำเร็จที่มาจากรายได้พื้นฐานจากรายการสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไอโฟน ในช่วงหลายปีมานี้ Apple ได้พิสูจน์ว่าบริษัทสามารถใช้ฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลของพวกเขาเพื่อเปิดพื้นที่สำหรับการเติบโตด้วยสินค้าชนิดใหม่ๆ เมื่อความต้องการสำหรับผลิตภัณฑ์หลักเริ่มอ่อนตัวลง
ในปีงบประมาณ 2019 ธุรกิจไอโฟนของบริษัทนั้นมีสัดส่วนยอดขายถึง 55% ของยอดขายทั้งหมด ในขณะที่ส่วนสินค้าบริการที่รวมถึง Apple Music, การให้เช่าภาพยนตร์, และการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น มีอัตราส่วนเพียง 18% เท่านั้น และแม้ว่าจะมียอดขายที่น่าประทับใจ นักวิเคราะห์บางคนยังคงเชื่อว่าการเติบโตในภาคสินค้าบริการยังไม่แข็งแรงพอที่จะหักล้างกับการอ่อนตัวลงของธุรกิจฮาร์ดแวร์ของ Apple
โกลด์แมน แซคส์ผู้หั่นราคาเป้าหมายของ Apple เมื่อวานนี้ลงถึง 33% เหลือเพียง 80$ ต่อหุ้นกล่าวว่าพวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจส่วนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไอโฟนนั้นจะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างแท้จริงอีกครั้ง นักวิเคราะห์ของโกลด์แมนมีความคิดเห็นเช่นนี้ว่า
“ภาพรวมของบริษัท Appleในมุมมองของเรานั้นมีรากฐานมาจากความคิดที่ว่า หากจะสนใจแค่เพียงยอดขายไอโฟนนั้นเป็นการคาดเดาทิศทางที่ไม่น่าติดตามนัก ส่วนสินค้าสวมใส่และบริการต่างๆ ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะมียอดขายมากพอที่จะทำให้บริษัทเติบโตอีกครั้ง”
โกลด์แมนยังได้เปรียบเทียบ Apple กับ Intel (NASDAQ:INTC) โดยกล่าวว่าธุรกิจศูนย์กลางข้อมูลของบริษัทอินเทลก็ยังไม่เพียงพอที่จะหักล้างกับยอดขายคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ลดลงซึ่งทำให้หุ้นบริษัทเผชิญแรงเสียดทานมาตั้งแต่ปี 2012
2. ความสุ่มเสี่ยงจากตลาดจีน
ในตลาดหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งหมด Apple เป็นบริษัทที่เผชิญความสุ่มเสี่ยงจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ และจีนที่ย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Apple ได้สร้างเครือข่ายการผลิตขนาดใหญ่ในประเทศจีนเพื่อที่จะลดต้นทุนในการผลิต และนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทกลายเป็นหุ้นที่เสี่ยงมากจากการเคลื่อนไหวของประเทศในเอเชีย
บริษัท Apple มีการจ้างพนักงานกว่าสองล้านคนในฐานการผลิตของบริษัท และยังรวมถึงจำนวนเดียวกันที่เป็นผู้ทำงานเชิงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแอพพลิเคชั่นของ Apple
บริษัทได้ออกแบบและขายสินค้าส่วนใหญ่ของพวกเขาในสหรัฐฯ แต่ได้นำเข้าสินค้าดังกล่าวมาจากประเทศจีนหลังจากการผลิตและรวบรวม หรือในทางปฏิบัติคือไอโฟนทั้งหมดนั้นผลิตขึ้นโดยบริษัท Hon Hai Precision ในเมืองเจิ้งโจวของประเทศจีนซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท Foxconn และโดยบริษัท Pegatron ซึ่งเป็นจุดรวมรวบสินค้าในเมืองเซี่ยงไฮ้
ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เขาตั้งใจที่จะลดระดับความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจกับประเทศจีนลงอีก ซึ่งนั้นเป็นภัยที่จะทำร้ายบริษัทอเมริกันใดๆ ที่ตามที่พยายามจ้างงานข้ามประเทศ นอกจากนี้ทรัมป์ยังได้กล่าวอีกว่าเขาอาจจะสั่งห้ามบริษัทที่ทำธุรกิจในจีนให้ไม่สามารถได้รับสัญญาจากรัฐบาลได้
ในเชิงข้อมูลสารสนเทศนั้น การดำเนินการของทรัมป์นั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ส่วนตัวผ่านแอพพลิเคชั่นใดๆ ก็ตามเช่น WeChat หรือ TikTok และสหรัฐฯ ยังเคลื่อนไหวเพื่อที่จะปิดโอกาสสำหรับบริษัท Huawei จากการเข้าถึงเทคโนโลยีและเครื่องมือของสหรัฐฯ อีกด้วย
3. การประเมินมูลค่าสูง
ปัจจุบัน Apple มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราวๆ สองพันล้านเหรียญสหรัฐฯ มีการซื้อขายมากขึ้นกว่าเดิม 31 เท่าก่อนแจกแจงรายได้ครั้งล่าสุดซึ่งเป็นจุดที่บ่งชี้ความร่ำรวยในหลายปัจจัยภายในทศวรรษเดียว
มีเหตุผลสนับสนุนมากมายที่ส่งเสริมภาพเชิงบวกนี้และเตือนใจนักวิเคราะห์มากมายให้ประเมินหุ้นบริษัทดังกล่าวใหม่อีกครั้งเช่นความเชื่อมั่นที่ Apple จะเปิดตัวไอโฟนในระบบ 5G ครั้งแรกในช่วงสิ้นปีนี้และบริษัทก็มียอดขายจากสินค้าบริการที่เพิ่มขึ้นจนส่งผลให้การพึ่งพายอดขายจากผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์
แต่ในขณะนี้ที่ราคาหุ้นถูกประเมินไว้บนความสมบูรณ์แบบ บริษัทมีโอกาสเพียงน้อยนิดหากจะทำให้นักลงทุนผิดหวัง การเทขายหุ้นของ Apple ได้เร่งระดับขึ้นหลังจากสำนักข่าวนิเคอิรายงานเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าการผลิตครั้งใหญ่ของไลน์สินค้าไอโฟนตัวใหม่คาดว่าจะเริ่มต้นในกลางเดือนกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคมโดยการผลิตนั้นเดิมทีคาดว่าจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
บริษัทคาดว่าจะผลิตไอโฟนราว 75 ล้านเครื่องในปีนี้ซึ่งน้อยกว่าจำนวนที่ได้สั่งซื้อชิ้นส่วนสำหรับการผลิตที่ 80 ล้านเครื่อง และในส่วนการผลิตที่ค้างอยู่อาจถูกดันไปผลิตไปช่วงต้นปี 2021 แทน นิเคอิกล่าวว่าได้อ้างอิงจากแหล่งข่าวหลายแหล่ง
“เพื่อให้เห็นภาพเชิงบวกของหุ้น Apple และปฏิเสธทฤษฎีดังกล่าว เราจำเป็นต้องเห็นถึงยอดขายหรือกำไรก่อนหักภาษีที่สามารถก้าวข้ามความคาดหวังเชิงการเติบโตให้ได้ก่อน” กล่าวในบันทึกข้อความจากโกลด์แมน แซกส์
โดยสรุปแล้ว
Apple กำลังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงขาลงมากกว่ายักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีอื่นๆ ในช่วงการชะลอตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯนี้ แต่จุดอ่อนดังกล่าวนั้นเป็นข้อดีในมุมมองของเรา เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนมีโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าวในราคาที่น่าดึงดูดใจมากขึ้น