ปลดล็อคข้อมูลพรีเมียม: ส่วนลดสูงสุดถึง 50% InvestingProรับส่วนลด

ภาพรวมตลาดลงทุนประจำสัปดาห์:ดาวโจนส์อาจสร้างสถิติใหม่แม้ทิศทางเศรษฐกิจไม่ชัดเจน

เผยแพร่ 24/08/2563 14:40
IXIC
-

ภาพรวมตลาดลงทุนประจำสัปดาห์:ดาวโจนส์อาจสร้างสถิติใหม่แม้ทิศทางเศรษฐกิจไม่ชัดเจน

 

- ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาดีขัดแย้งกับตัวเลขผลประกอบการทำให้ตลาดหุ้นมีความขัดแย้งในตัว
- ขาขึ้นในตลาดหุ้นไม่สอดคล้องกับกราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เกือบลงไปถึงจุดต่ำสุดใหม่เช่นเดียวกับราคาทองคำ
- ดัชนีดาวโจนส์พร้อมขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่

 

หลังจากดัชนี PMI ภาคการผลิตและข้อมูลตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ออกมาดีขึ้นสร้างความขัดแย้งและการถกเถียงในหมู่นักลงทุนว่าตกลงแล้วนี่คือสภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจจากโควิด - 19 หรือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจกันแน่ เมื่อวันศุกร์ที่แล้วตลาดหุ้นส่วนใหญ่นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีล้วนแต่ปิดบวกทั้งสิ้น ดัชนีหลักๆ อย่าง S&P 500 ดาวโจนส์และ NASDAQ ต่างปรับตัวสูงขึ้นเป็นวันที่ 2 ซึ่งขาขึ้นดังกล่าวสร้างสถิติทำให้ดัชนีหลักๆ สามารถปิดตัวเป็นบวกได้ 4 สัปดาห์ติดต่อกันและยังได้ชื่อว่าเป็นชัยชนะที่ยาวนานที่สุดของดัชนีสำหรับเทคโนโลยีโดยเฉพาะอีกด้วย ในสัปดาห์นี้เราคาดหวังว่าขาขึ้นจะยังรักษาแนวโน้มให้อยู่ในขาขึ้นได้ต่อไป

 

ไม่ว่าจะเปิดดูกราฟในกรอบเวลาไหนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็สามารถทำผลงานได้ดีทั้งหมด

 

ดัชนีที่มีหุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีสังกัดอยู่อย่าง S&P 500 และ NASDAQ ต่างสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งคู่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หุ้นใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 สามารถทำกำไรคืนแก่นักลงทุนได้ 1.27% ซึ่งก่อนหน้านั้นหุ้นในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยสามารถทำขาขึ้นได้ก่อนแล้ว 0.5% ที่ลืมไม่ได้เลยคือหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ไม่ว่าจะเปิดดูกราฟในกรอบเวลารายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ราย 3 เดือน 6 เดือน รายปี ราย 5 ปีหรือจากต้นปีจนถึงปัจจุบันล้วนแล้วก็เป็นตลาดกระทิงทั้งหมดทั้งสิ้น

 

สาเหตุว่าทำไมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ก็เป็นเพราะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีเป็นบริษัทที่พูดถึงแต่ “โลกอนาคตที่สามารถจับต้องได้” สิ่งหนึ่งที่เราได้เห็นกันแล้วในยุคโรคระบาดคือการทำงานที่ไหนก็ได้โดยไม่จำเป็นจะต้องไปรวมกลุ่มกันนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศในเมืองอีกต่อไป ผู้คนสามารถทำงาน พบปะ พูดคุยกันบนโลกอินเตอร์เน็ตได้มากกว่าการไปเจอกันในชีวิตจริง ด้วยผลงานอันโดดเด่นของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังทำให้ดัชนี S&P 500 และ NASDAQ สร้างจุดสูงสุดใหม่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วและกลายเป็นการสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นครั้งที่ 2 ของ S&P 500 และครั้งที่ 14 สำหรับ NASDAQ

 

สำหรับ NASDAQ นี่คือการสร้างสถิติใหม่ล่าสุด 19 ครั้งนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคมและถือเป็นการสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลเป็นครั้งที่ 10 ครึ่ง ความจริงนี้กำลังตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่สร้างความได้เปรียบให้กับบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ มองเห็นอนาคตไกลกว่าบริษัทในกลุ่มอื่นๆ การเว้นระยะห่างทางสังคม การเปลี่ยนแปลงไปของพฤติกรรมผู้บริโภคจากออฟไลน์สู่ออนไลน์คือนิยามของคำว่า “โลกอนาคต” อย่างแท้จริง

 

นอกจากดัชนี S&P 500 และ NASDAQ ที่สร้างสถิติทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้ว ดัชนีสำคัญตัวอื่นอย่าง Russell 2000 อยู่ห่างจากจุดสูงสุดตลอดกาลในวันที่ 21 สิงหาคมปี 2018 เพียง 12% และดัชนีดาวโจนส์อยู่ห่างจากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์เพียง 5.9% เท่านั้น 

 

จากข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจและรายงานผลประกอบการบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ที่จริงๆ แล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยมือสองของเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นอย่างกาวกระโดดสูงที่สุดตั้งแต่เคยมีรายงานมา บริษัทวอลล์มาร์ท (NYSE:WMT) และทาร์เก็ต (NYSE:TGT) แสดงตัวเลขผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในช่วงวิกฤตโรคระบาด อย่างไรก็ตามคำถามที่น่าสนใจก็คือตัวเลขผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้สามารถชดเชยบริษัทค้าปลีกรายเล็กที่ต้องปิดกิจการลงไปเพราะทนพิษบาดแผลจากโควิดไม่ไหวได้หรือไม่? ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวจริงทำไมตัวเลขอัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูง? และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อไหร่เราจะได้เห็นข่าวดีเกี่ยวกับเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจรอบที่ 2 เสียที?

 

คำว่าใดๆ ในโลกล้วนไม่แน่นอนช่างเป็นคำกล่าวที่ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย หากเป็นเมื่อก่อนกว่าที่เราจะได้เห็นดัชนีหลักๆ ฟื้นตัวจากพิษเศรษฐกิจอาจต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีแต่ครั้งนี้ทั้งๆ ที่เป็นภัยพิบัติโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในโลกสมัยใหม่ดัชนี S&P 500 กลับใช้เวลาฟื้นตัวเพียง 6 เดือนเท่านั้นและยังสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีกด้วย แม้จะฟังดูเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์แต่เราต้องไม่ลืมว่านี่คือขาขึ้นที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพอๆ กันกับขาลงซึ่งถือว่าผิดหลักธรรมชาติ

 

ที่ผ่านมาการทำ QE ของธนาคารกลางและการทดลองทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ ได้พาเราเข้าสู่โลกใบที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนและเป็นโลกที่เราไม่รู้จริงๆ ว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปทางไหน สิ่งที่เราได้เรียนรู้มาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และโลกแห่งการเงินอาจจะไม่สามารถใช้ได้อีกแล้วและเราอาจจะต้องปูบทเรียนเรื่องนี้กันใหม่ทั้งหมด แม้กระทั่งนักลงทุนในตำนานอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ยังตัดสินใจเทขายหุ้นในมือทิ้งในช่วงที่วิกฤตโรคระบาดเข้ามา ถามว่าทำไม? เพราะแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นในอนาคตต่อไป

 

นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่าภายในไม่เกิน 12 เดือนต่อจากนี้เราจะได้เห็นดัชนี S&P 500 ร่วงลงมากถึง 14.5% ที่สำคัญตัวเลขผลกำไรที่ดีเกินกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ยังถือว่าต่ำกว่ากำไรที่เคยทำได้ในช่วงก่อนโควิดถึง 40% หากเราเปิดดูกราฟดัชนีที่ได้ชื่อว่าทำสถิติใหม่เทียบกับอินดิเคเตอร์จะพบว่าเกิดสัญญาณไดเวอร์เจนต์ที่เริ่มส่งผลกับตัวกราฟบ้างแล้ว ดัชนีวัดความผันผวน (VIX) ยังไม่สามารถลงไปถึงระดับก่อนช่วงโควิดได้ กราฟผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ร่วงลงมา 93 จุดเบสิสและราคาทองคำสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2011

 

VIX daily

 

ดัชนีวัดความผันผวนลงมาทดสอบแนวรับที่เกิดขึ้นจากช่องว่างระหว่างราคา (gap) ในช่วงที่การระบาดพึ่งมาถึงใหม่ๆ 

 

UST 10Y Daily



กราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีวิ่งกลับลงไปอยู่ใต้เส้นเทรนด์ไลน์ขาลงที่ลากมาจากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์อีกครั้งซึ่งเป็นจุดสูงสุดก่อนที่ไวรัสโคโรนาจะสามารถกดกราฟลงมาได้ จากสุดสูงสุดนั้นลงมาถึงราคาปัจจุบันคิดเป็นการร่วงลงมา 93 จุดเบสิส

 

ราคาทองคำปรับตัวลงมา 5.25% จากจุดสูงสุดใหม่ ในสัปดาห์นี้นักลงทุนจะเจอช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในการตัดสินใจและรับมือกับทิศทางที่ไม่แน่นอนของทองคำอีกครั้ง

 

Gold Daily

 

แม้ว่าราคาทองคำยังอยู่ในกรอบราคาขาขึ้นแต่รูปแบบแท่งเทียนเมื่อวันศุกร์ถือเป็นการยืนยันแท่งเทียนรูปแบบค้อนกลับหัวของวันพฤหัสบดีแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขาลงต่อ ที่สำคัญแท่งเทียนหัวค้อนเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วยังเป็นตัวปิดกรอบรูปแบบธงลู่ขึ้นอีกด้วย เมื่อมาพิจารณาราคาทองคำจากอินดิเคเตอร์พบว่าทั้ง MACD, RSI และ ROC ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทองคำอาจไม่ขึ้นไปยุ่งกับจุดสูงสุดสักพัก

 

ขาลงของราคาทองคำจะสอดคล้องกับสัญญาณยืนยันขาขึ้นในดัชนีดาวโจนส์หรือไม่คือสิ่งที่ต้องดูในสัปดาห์นี้

 

Dow Jones Daily

 

ก่อนปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วดัชนีดาวโจนส์สามารถสร้างจุดแตกหักที่สำคัญของแนวโน้มขึ้นมาได้คือการมีราคาปิดทะลุออกจากกรอบธง นี่ถือเป็นสัญญาณขาขึ้นที่ดีหลังจากที่ก่อนหน้านี้ดัชนีดาวโจนส์สามารถทำขาขึ้นได้ 8 แท่งติดต่อกันคิดเป็นการปรับตัวขึ้นมามากกว่า 2000 จุด หากว่าหลังจากเปิดตลาดวันนี้ผลของการทะลุกรอบยังอยู่ เราอาจจะได้เห็นดัชนีดาวโจนส์ที่กลับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาลได้อีกครั้ง

 

สกุลเงินสำรองอันดับหนึ่งของโลกอย่างดอลลาร์ดีดตัวกลับขึ้นมาเมื่อวันพุธที่แล้วจากผลรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ และดีดตัวอีกครั้งจากความคาดหวังของนักลงทุนในตลาดที่มีต่อการเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจรอบที่ 2 หากให้พูดง่ายๆ ก็คือตอนนี้ดอลลาร์ไม่มีกำลังที่จะขึ้นเองได้นอกจากต้องพึ่งข่าวแต่เราก็ยังอยากให้การวิเคราะห์ทางเทคนิคอธิบายพฤติกรรมของดัชนีดอลลาร์สหรัฐในอีกมุมมองหนึ่ง

 

DXY Daily

 

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐในตอนนี้หลุดกรอบราคาขาลงของตัวเองที่ลากมาตั้งแต่จุดสูงสุดเมื่อเดือนมีนาคมลงมาได้ จนเราต้องสร้างกรอบราคาขาลงใหม่ (สีแดง) ที่ชันกว่าเดิมขึ้น หากว่าดัชนีดอลลาร์สหรัฐสามารถกลับขึ้นไปอยู่ในกรอบเดิมได้ก็อาจจะช่วยทำให้นักลงทุนสามารถเบาใจได้บ้าง

 

สุดท้ายหลังจากที่ซาอุดิอาระเบียมีตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบลดลงจนสร้างจุดต่ำสุดเป็นสถิติใหม่ในเดือนมิถุนายนทำให้รัสเซียสามารถขึ้นมาครองตำแหน่งผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก ณ เวลานี้ ตลาดน้ำมันดิบถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ราคาปัจจุบันวิ่งสวนทางกับอินดิเคเตอร์ แม้ว่ากราฟราคาน้ำมัน WTI จะไม่สามารถขึ้นไปไกลเกินกว่า $45 ได้และทรงตัวมานานถึง 11 สัปดาห์แต่สัปดาห์ที่แล้วก็ยังคงวิ่งขึ้น 0.8% ทำสถิติขาขึ้น 3 สัปดาห์ติดคิดเป็นการปรับขึ้นรวมทั้งสิ้น 5.1%

 

ข่าวเศรษฐกิจประจำสัปดาห์ (เวลาคำนวณเป็น EDT)

 

วันอังคาร

 

04:00 (เยอรมัน) ดัชนีวัดบรรยากาศทางธุรกิจโดย Ifo: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 90.5 เป็น 92.0

 

10:00 (สหรัฐฯ) ตัวเลขวัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดย CB: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 92.6 เป็น 93.0

 

10:00 (สหรัฐฯ) ตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 776K ขึ้นเป็น 786K

 

วันพุธ

 

08:30 (สหรัฐฯ) ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน: คาดว่าจะลดลงจาก 3.6% เหลือ 2.1%

 

10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: สัปดาห์ที่แล้วมีตัวเลขอยู่ที่ -1.632M

 

วันพฤหัสบดี

 

08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าแบบไตรมาสต่อไตรมาสจะเพิ่มขึ้นจาก -32.9% เป็น -32.6%

 

08:30 (สหรัฐฯ) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: คาดว่าจะลดลงจาก 1,106K เป็น 925K

 

09:10 (สหรัฐฯ) แถลงการณ์จากประธานเฟดนายเจอโรม พาวเวลล์

 

10:00 (สหรัฐฯ) ยอดขายที่อยู่อาศัยที่ติดจำนอง: คาดว่าจะลดลงจาก 16.6% เหลือ 4.5%

 

วันศุกร์

09:05 (สหราชอาณาจักร) แถลงการณ์จากผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษนายแอนดูรว์ ไบลีย์

 

 

 

 














 

 

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย