“อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องขยายอาณาเขตเพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจที่แข็งแกร่งเสมอไป” นี่อาจจะเป็นสิ่งบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) หลังจากยุคของสตีฟ จ็อบส์คิดและทำมาตลอดซึ่งก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วด้วยพาดหัวข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเกี่ยวกับการเถลิงบัลลังก์เป็น “บริษัทแรกในประวัตศาสตร์โลกที่มีมูลค่าสูงเกิน $2,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ”
บริษัทแอปเปิลสามารถขว้าตำแหน่งนี้มาครองได้ในช่วงดึกของวันพุธที่ 19 สิงหาคมท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าหุ้นกลุ่มเทคฯ เติบโตเร็วเกินไปหรือไม่ในช่วงวิกฤตโรคระบาด ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นแอปเปิลขึ้นมาแล้วมากถึง 60% ตอกย้ำว่าโลกในปัจจุบันต้องการ e-commerce และสื่อความบันเทิงสำหรับการอยู่บ้านเพิ่มขึ้นมากขนาดไหน
ผลิตภัณฑ์หลักอย่างไอโฟน (iPhone) และบริการที่อยู่ภายใต้ระบบนิเวศน์เดียวกันต่างก็ได้รับประโยชน์จากโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเพราะการเข้ามาของไวรัสโควิด-19 ตำแหน่ง $2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐนี้ได้มาหลังจากที่แอปเปิลได้ตำแหน่ง $1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตามการจะขึ้นเป็น $3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐนั้นไม่ใช้เส้นทางที่ง่ายดาย
ความท้าทาย 3 ประการต่อไปนี้คือสิ่งที่แอปเปิลต้องเจอบนเส้นทางการเติบโตของยอดขายบริษัท
1. เงื่อนไขบน App Store กับกฎหมายตรวจสอบการผูกขาด
บริษัทแอปเปิลนับวันก็ยิ่งเจอปัญหาทางกฎหมายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากยุโรปและในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่สำคัญ สหภาพยุโรปได้ประกาศให้มีการตรวจสอบว่าการค้าขายผ่าน App Store ของแอปเปิลถือเป็นการผูกขาดทางการค้าได้หรือไม่ซึ่งหนึ่งในจุดที่ใช้พิจารณาอย่างหนักเลยคือเงื่อนไขในการซื้อของผ่านแอปพลิเคชันที่อยู่บน App Store
ก่อนหน้านี้เคยมีบริษัทเทคโนโลยีที่ถูกตัดสินว่าเป็นการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดในยุโรปหลายกรณี หากแอปเปิลถูกตัดสินว่าการซื้อขายผ่านแอปฯ เข้าข่ายละเมิดกฎของสหภาพยุโรปจริงจะถูกปรับ 10% จากกำไรรายปีและจะต้องเปลี่ยนเงื่อนไขที่อยู่ในข้อกำหนดสำหรับบริษัทผู้ที่ต้องการวางแอปพลิเคชันไว้บน App Store ทั้งหมด
กลับไปที่ฝั่งสหรัฐฯ สถานการณ์การตรวจสอบการผูกขาดทางการค้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ก็แรงไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้ไม่นาน 4 จักรพรรดิแห่งเทคโนโลยียุคใหม่ซึ่งรวมถึงแอปเปิลด้วยพึ่งถูกตรวจสอบจากหน่วยงานของภาครัฐอันได้แก่กระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารและสภาคอนเกรส
เรื่องล่าสุดที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงที่อาจนำไปสู่การลุกฮือเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขบน App Store ก็คือการที่บริษัท Epic Games สร้างช่องทางการทำเงินขึ้นมาโดยไม่ผ่าน App Store และ Play Store ของกูเกิล (NASDAQ:GOOGL) จนนำไปสู่การลงโทษถอนแอปฯ เกมชื่อดังอย่าง “ฟอร์ดไนท์ (Fortnite)” ออกจากทั้ง App Store และ Play Store สถานการณ์ล่าสุดในตอนนี้บริษัทแอปเปิลได้ตั้งทีมทนายขึ้นมาเพื่อสู้กับ Epic Games แล้วในขณะที่ฝั่ง Epic Games ก็กำลังหาพันธมิตรในวงการอื่นๆ ที่ไม่พอในกับเงื่อนไขของแอปเปิลมาร่วมต่อสู้ด้วยเช่นกัน
2. ความคาดหวังของผู้บริโภคที่มีต่อเทคโนโลยี 5G
จากมูลค่าของหุ้นบริษัทแอปเปิลในตอนนี้เป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานแอปเปิลอาจจะได้เข้าสู่ปรากฎการณ์ยอดขายถล่มทลายอีกครั้งหากว่าไอโฟน 12 ที่กำลังจะออกในเดือนหน้าสามารถรองรับเทคโนโลยี 5G ที่ว่ากันว่าจะเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานอินเตอร์เน็ทของโลกนี้ในแบบที่ไม่เคยเป็นกันมาก่อน อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการขายมือถือแห่งความหวังรุ่นนี้คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่อาจส่งผลกระทบต่อยอดขายมือถือไอโฟน 12 นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา (BofA) ได้ออกมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้พร้อมทั้งพูดถึงยอดขายที่ชะลอตัวในประเทศจีน
“บริษัทแอปเปิลกำลังเจอปัญหายอดขายจากร้านค้าในประเทศจีนมีอัตราการเติบโตชะลอตัว เรากำลังเป็นกังวลว่าปัญหาลักษณะเดียวกันนี้อาจะเกิดขึ้นกับร้านค้าแอปเปิลในพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก”
หุ้นแอปเปิลที่ปัจจุบันมีราคาล่าสุดอยู่ที่ $497.48 และมีเงินสดในมือมากกว่า $81,000 ล้านเหรียญสหรัฐกำลังได้รับความนิยมจากเหล่านักลงทุนและถือเป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้นของแอปเปิลสูงขึ้นมากเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่เคยอยู่ในช่วง $1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในเดือนสิงหาคมปี 2018
Dan Gallagher นักวิเคราะห์จาก Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า “การที่มูลค่าของบริษัทแอปเปิลสามารถขึ้นไปถึง $2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐได้หมายความว่ายังมีคนที่พร้อมจะซื้อหุ้นแอปเปิลไม่ว่าจะมีราคาแพงเพียงใดก็ตาม การเดิมพันกับคำว่า 5G สำหรับแอปเปิลในครั้งนี้จึงเป็นความคาดหวังที่แอปเปิลไม่สามารถทำผิดพลาดได้”
3. ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
แอปเปิลคือบริษัทที่เกิดขึ้นมาได้เพราะคำว่า “นวัตกรรม” การกำเนิดขึ้นของไอโฟนครั้งแรกทำให้ผู้ผลิตมือถือยักษ์ใหญ่ของโลกในเวลานั้นต้องรีบเปลี่ยนไลน์การผลิตทันที เพื่อที่จะรักษาชื่อเสียงในด้านนี้เอาไว้แอปเปิลจำเป็นที่จะต้องพยายามคิดสิ่งใหม่ๆ ออกมารองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในยุคของ CEO ทิม คุก แอปเปิลจะไม่ได้ผลิตเทคโนโลยีใหม่ๆ อะไรออกมามากมายเหมือนก่อนแต่แอปเปิลก็ได้ออกผลิตภัณฑ์เสริมตัวอื่นๆ และพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานมากขึ้นซึ่งรวมไปถึงการตัดสินใจเปลี่ยนการปลดล็อคหน้าจอมือถือมาเป็นสแกนหน้าในปี 2007
การกำเนิดขึ้นของหูฟังไร้สายอย่าง AirPods ที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานและยังสามารถคงไว้ซึ่งระดับเสียงที่มีคุณภาพและ Apple Watch ที่สามารถตรวจจับชีพจรของผู้ใช้งานได้ในขณะออกกำลังกายหรือสามารถเตือนให้คุณล้างมือได้อยู่ตลอดคือตัวอย่างของการนิยามคำว่า “นวัตกรรม” ใหม่ในยุคของทิม คุก เขาต้องการสร้างประสบการณ์ใช้งานผลิตภัณฑ์การใช้งานแบบไร้รอยต่อภายใต้ระบบนิเวศน์เดียวกันของผลิตภัณฑ์แอปเปิล
หากพูดถึงอนาคตต่อจากนี้สิ่งที่แอปเปิลจะต้องทำคือการพัฒนาแอปพลิเคชันให้มีความเร็วที่สามารถรองรับโลกที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค 5G ได้ อ้างอิงจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กมีรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “แอปเปิลมีแผนที่จะเปิดตัวชุดของบริการภายใต้ชื่อ “Apple One” ซึ่งภายในนั้นจะเต็มไปด้วยบริการซับสคริปชันมากมายที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญราคาของการเป็นสมาชิกบริการต่างๆ รายเดือนที่อยู่ในนั้นมีราคาไม่แพงอีกด้วย”
คาดว่าบริการ Apple One จะเปิดตัวพร้อมๆ กันกับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ไอโฟน 12 (iPhone 12) ภายในช่วงต้นเดือนตุลาคมปี 2020
โดยสรุปแล้ว
แอปเปิลได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าหุ้นของบริษัทเหมาะจะเป็นตัวเลือกสำหรับนักลงทุนในระยะยาวและไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกเลยว่าอาณาจักรผลไม้แห่งนี้จะถูกคุกคามจากบริษัทอื่นได้เลย แต่สิ่งที่ต้องระวังเอาไว้ก็คือยิ่งบริษัทแอปเปิลขึ้นสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่สามารถเปิดช่องแห่งความผิดพลาดให้เกิดขึ้นได้แม้เพียงเล็กน้อย