ผ่านพ้นกันไปแล้วกับการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2020 แม้จะเป็นไตรมาสที่นักวิเคราะห์หลายๆ สำนักมองว่าเป็นไตรมาสที่หนักที่สุดของปี 2020 เพราะบริษัทโดยส่วนใหญ่ต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดแต่ก็มีบางบริษัท (โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกและเทคโนโลยี) ที่ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสามารถมีตัวเลขผลประกอบการที่ดีในช่วงปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าได้
จากการรายงานผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ในสัปดาห์นี้แสดงให้ถึงการเติบโตของยอดขายจากการสั่งซื้อของออนไลน์ให้ไปส่งยังบ้านของผู้บริโภคโดยตรง เมื่อวานนี้บริษัททาร์เก็ต (NYSE:TGT) ห้างยักษ์ใหญ่ของวงการค้าปลีกสหรัฐฯ ได้รายงานตัวเลขผลประกอบการรายไตรมาสที่เติบโตมากที่สุดในประวัติศาสตร์จากการค้าของออนไลน์ เมื่อเทียบยอดขายจากทั้งแบบปกติและแบบออนไลน์ใน 12 เดือนล่าสุดที่สิ้นสุดในวันที่ 1 สิงหาคมพบว่ายอดขายทางออนไลน์เพิ่มขึ้นมากกว่า 24% คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากไตรมาสที่ 1 ในเดือนพฤษภาคม สินค้าของทาร์เก็ตที่ได้รับความนิยมหลักๆ ก็คืออาหาร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวกับการปรับปรุงบ้าน
เมื่อพูดถึงวงการค้าปลีกจะไม่พูดถึงวอลล์มาร์ท (NYSE:WMT) ก็คงไม่ได้ รายงานผลประกอบการของวอลล์มาร์ทสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ไปได้ด้วยตัวเลขยอดขายที่เพิ่มขึ้น 9.3% จากร้านขายปลีกดั้งเดิมและมียอดขายจากออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 97% ชี้ให้เห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปซื้อของออนไลน์เพิ่มมากขึ้น
ตัวเลขผลประกอบการที่ดีของทาร์เก็ตและวอลล์มาร์ทเชื่อว่าต้องสร้างความหนักใจให้กับบริษัทที่ได้ชื่อเป็นผู้ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ที่สุดของโลกในตอนนี้อย่างแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ถึงกระนั้นตัวเลขยอดขายของแอมาซอนในช่วงไตรมาสที่ 2 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 แอมาซอนยังสามารถรายงานผลประกอบการออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ทั้งๆ ที่บริษัทได้ใช้เงินประมาณ $4,000 ล้านเหรียญสหรัฐไปกับการเสริมเสถียรภาพให้กับซัพพลายเชนและการรักษาพนักงานของบริษัทเอาไว้
แม้ว่าผู้ค้าปลีกรายใหญ่จะได้ประโยชน์ไปอย่างมหาศาลจากการปิดล็อกเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกที่ช่วยให้ผู้บริโภคยังมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอย แต่ภาพรวมอนาคตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังไม่แน่นอนตราบใดที่พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันยังไม่สามารถตกลงกันเรื่องตัวเลขการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 ได้
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคฯ มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ถึงเศรษฐกิจจะถูกโจมตีด้วยภัยไวรัสโรคระบาดแต่ยักษ์แห่งวงการเทคโนโลยีสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) เฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) อัลฟาเบต (NASDAQ:GOOGL) และไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) ต่างก็สามารถรายงานผลประกอบการออกมาได้ “ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์” หมดทั้งสิ้น กอบโกยเงินมากกว่าพันล้านดอลลาร์กลับบ้านไปได้อย่างไม่มีปัญหา สิ่งที่ทำให้บริษัททั้ง 4 สามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ก็ต้องยกเครดิตให้กับโครงสร้างทางธุรกิจที่เน้นไปทางการซื้อขายออนไลน์ การมีปฏิสัมพันธ์บนโลกโซเชียลและการให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลบนคลาวด์
สดๆ ร้อนๆ เลยกับเมื่อวานนี้ที่บริษัทแอปเปิลสามารถทำสถิติกลายเป็นบริษัทแรกในประวัติศาสตร์โลกที่มีมูลค่าตลาดสูงเกิน $2,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นของแอปเปิลทะยานขึ้นมาแล้วมากกว่า 60% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $462.83
ในทางกลับกันบริษัทรุ่นเก่าๆ กลับกำลังพยายามหนีตายอย่างสุดกำลัง ยกตัวอย่างเช่นบริษัทโบอิ้ง (NYSE:BA) ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินรายใหญ่และแคเทอร์พิลลาร์ (NYSE:CAT) บริษัทค้าขายอุปกรณ์ก่อสร้างที่กำลังประสบปัญหาผู้คนเดินทางด้วยเครื่องบินน้อยลงและอาจจะกลับไปจุดก่อนโควิดไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนต้านโควิดออกมาอย่างเป็นทางการ
ในการรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดของโบอิ้งพวกเขาต้องปลดพนักงานเพิ่มและยังต้องลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินบางส่วนออก ที่สำคัญเครื่องบินรุ่น 737 MAX ที่เคยเป็นข่าวแม้ว่าอาจจะสามารถกลับมาบินขึ้นฟ้าได้อีกครั้งในไตรมาสที่ 4 แต่ก็ต้องรอดูทิศทางของนักเดินทางในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย ความเชื่อใจของผู้คนที่มีต่อการเดินทางอาจจะยังไม่สามารถกลับมาได้เร็วขนาดนั้น
ยอดขายของบริษัทแคเทอร์พิลลาร์ที่เน้นการขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างให้กับประเทศแทบเอเชียแปซิฟิกลดลง 10% ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 และมียอดขายเพียง 54% ในสหรัฐอเมริกาทางตอนเหนือ ภาพรวมแล้วยักษ์ใหญ่แห่งวงการก่อสร้างรายนี้เริ่มตกที่นั่งลำบากมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนเดินหน้าเข้าแข่งขันเพื่อแย่งชิงตลาดในฝั่งเอเชียมากขึ้น
บริษัทผู้ผลิตน้ำมันยังไม่ฟื้นตัวจากภัยโควิด
เป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันต่างก็กำลังประสบปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 แม้ว่าตอนนี้ราคาน้ำมันจะสามารถกลับขึ้นมามีราคาซื้อขายอยู่ที่ $42 ได้แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จำให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันเหล่านี้สามารถบริหารธุรกิจในมือของพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้กลยุทธ์อื่นเข้ามาช่วยลดต้นทุนเช่น การลดงบประมาณการจัดการ บางแห่งถึงกับตั้งลดเงินปันผลเลยทีเดียว
เมื่อพูดถึงบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐฯ ก็ต้องพูดถึง 2 บริษัทอย่างเอ็กซอนโมบิล (NYSE:XOM) และเชฟรอน (NYSE:CVX) รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2020 จากทั้ง 2 บริษัทชี้ให้เห็นว่าพวกเขาต้องอดทนกับแผลที่เกิดขึ้นอุปสงค์น้ำมันที่ลดลงมากเพียงใด
ในไตรมาสที่ 2 เชฟรอนสูญเงินไปมากถึง $8,300 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งถือเป็นความสูญเสียที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1998 ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการหดตัวของผลกำไรเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ที่เชฟรอนเคนได้กำไร $4,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
สถานการณ์ของเอ็กซอนโมบิลก็ไม่ต่างจากของเชฟรอนมากนัก ในไตรมาสที่ 2 ปี 2020 เอ็กซอนเผยว่ากำไรของบริษัทขาดทุนถึง $1,100 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วที่ได้กำไรอยู่ที่ $3,100 ล้านเหรียญสหรัฐ นี่คือการรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่ขาดทุนต่อเนื่องของบริษัทเป็นครั้งแรกของศตวรรษนี้และเอ็กซอนก็ได้ยอมรับกับเหล่านักลงทุนว่าไม่สามารถดำเนินการตามแผนในการฟื้นฟูสภาพคล่องของบริษัทได้ในไตรมาสนี้
โดยสรุปแล้ว
รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 จะว่าไปแล้วก็มีแต่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ดัชนี S&P 500 กลับสามารถฟื้นตัวแบบ V-Shape จนสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ในไตรมาสที่ใครๆ ต่างก็บอกว่าน่ากลัวที่สุด ยักษ์ใหญ่แห่งเทคฯ และค้าปลีกต่างก็มีความสุขกันทั่วหน้าและได้ประโยชน์จากภัยโรคระบาดในขณะที่ธุรกิจในยุคเก่าแค่คิดถึงคำว่า “เอาตัวรอด” ยังลำบาก