ยังมีหุ้นอีกกลุ่มที่ยังไม่ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 นั่นคือบริษัทที่อยู่ในกลุ่มขายปลีก ในภาพรวมแล้วหุ้นกลุ่มนี้ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปใช้บริการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้นในช่วงของการระบาดไวรัสโคโรนา เมื่อไปดูข้อมูลจากกองทุน ETF ที่ลงทุนเกี่ยวกับการขายปลีกพบว่ากราฟกำลังวิ่งขึ้นเกือบจะถึงจุดสูงสุดที่เคยทำเอาไว้แล้ว กราฟ SPDR® S&P Retail ETF (NYSE:XRT) ปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมขึ้นมาจนถึงปัจจุบันแล้วประมาณ 92% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นมาได้ 52% จากการเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน
ในบทความนี้เราได้คัดหุ้น 3 ตัวที่ดูแล้วมีศักยภาพพอที่จะต่อกรกับบริษัทผู้เป็นจ้าวแห่งการขายปลีกอย่างแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) รวมไปถึงหุ้นอีก 1 ตัวที่นักลงทุนในตลาดควรเลี่ยง
1. Walmart (จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 18 สิงหาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด)
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น: -2.3% แบบปีต่อปี
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขผลกำไร: +3.5% แบบปีต่อปี
วอลมาร์ท (NYSE:WMT) ถือเป็นหุ้นในกลุ่มบริษัทขายปลีกที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 2 ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม 28% เพราะการเติบโตของธุรกิจ e-commerce และพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปซื้อของออนไลน์ในช่วงโควิด-19 เพิ่มขึ้น กราฟหุ้นของวอลมาร์ทขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $134.12 ในวันที่ 15 กรกฎาคม มีราคาล่าสุดอยู่ที่ $131.90 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $368,700 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทวอลมาร์ทคาดการณ์ว่าในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ครั้งนี้จะมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นที่เติบโตลดลงจาก $1.27 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วลดลงมาเหลือ $1.24 ส่วนตัวเลขผลกำไรคาดว่าจะเติบโตขึ้น 3.5% แบบปีต่อปีมีตัวเลขอยู่ที่ $135,030 ล้านเหรียญสหรัฐโดยมีรายได้ที่เติบโตมาจากการค้าขายออนไลน์เป็นหลัก
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจจากการรายงานผลประกอบการครั้งนี้ของวอลมาร์ทคือตัวเลขการเติบโตของธุรกิจ e-commerce ที่เมื่อไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้น 74% ในไตรมาสที่แล้ววอลมาร์ทประกาศว่ายอดขายสินค้าในกลุ่มการส่งอาหารและการเลือกซื้อของสะดวกซื้อผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นสถิติใหม่ของบริษัท วอลมาร์ทยังมีอีกสถิติหนึ่งที่น่าสนใจคือพวกเขาเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตขึ้น 5 ปีติดต่อกันแล้ว
2. Best Buy (จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 25 สิงหาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด)
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น: -7.4% แบบปีต่อปี
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขผลกำไร: +0.4% แบบปีต่อปี
หุ้นของเบสท์บาย (NYSE:BBY) ได้รับแรงหนุนขาขึ้นมาจากการเติบโตของธุรกิจ e-commerce ในช่วงโควิด-19 ไม่ต่างจากวอลมาร์ท ในช่วง 12 เดือนล่าสุดหุ้นของบริษัทผู้ขายปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกซ์ทะยานสูงขึ้น 64% และยังคงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวสำหรับบริษัทแอมาซอน ล่าสุดหุ้นของเบสท์บายสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $105.57 มีราคาล่าสุดอยู่ที่ $104.99 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $26,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากความแข็งแกร่งของกำไรบริษัทเบสท์บายทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นครั้งนี้จะลดลงจาก $1.08 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 เหลือ $1.00 แต่ตัวเลขผลกำไรจะเพิ่มขึ้นจาก $9,540 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นเป็น $9,580 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับตัวเลขของปี 2019
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้คือการลงทุนในระบบออนไลน์จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับบริษัทอยู่หรือไม่หลังจากที่ตัวเลขผลกำไรในไตรมาสที่แล้วเพิ่มขึ้นมากกว่า 155% หรือคิดเป็นตัวเลขผลกำไรคือ $3,340 ล้านเหรียญสหรัฐ
ก่อนหน้านี้เบสท์บายพึ่งออกมาให้ข่าวว่าตัวเลขยอดขายออนไลน์ของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่าจากตอนที่รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ไปมากถึง 3 เท่า เมื่อนับจากวันรายงานผลประกอบการนั้นมาจนถึงวันที่ 18 กรกฎาคมพบว่ายอดขายออนไลน์ในสินค้าประเภท คิมพิวเตอร์ แท็บเล็ตและอุปกรณ์สำหรับทำงานที่บ้านอื่นๆ เพิ่มขึ้น 255%
3. Dollar General (จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 27 สิงหาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด)
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น: +36.7% แบบปีต่อปี
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขผลกำไร: +17.9% แบบปีต่อปี
ดอลลาร์เจนเนอรัล (NYSE:DG) ร้านค้าปลีกที่มีสาขามากกว่า 15,000 ร้านใน 44 รัฐของสหรัฐอเมริกาที่เน้นการค้าด้วยกลยุทธ์สินค้าราคาถูกมีราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น 53% หากนับจากจุดต่ำสุดของราคาในเดือนมีนาคม หุ้นดอลลาร์เจอเนอรัลมีจุดสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ $197.23 สร้างขึ้นในวันที่ 5 สิงหาคม มีราคาปัจจุบันอยู่ที่ $196.85 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วอยู่ที่ $41,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
ดอลลาร์เจนเนอรัลมีรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนในตลาดเป็นอย่างมาก ดังนั้นในไตรมาสที่ 2 นี้นักวิเคราะห์จึงคาดว่าบริษัทจะสามารถมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นออกมาอยู่ที่ $2.38 ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นของตัวเลขรายการนี้แบบปีต่อปี 37% ส่วนตัวเลขผลกำไรคาดว่าจะเติบโตขึ้นจากตัวเลข $8,230 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 ขึ้นอีก 18% สะท้อนให้เห็นความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจคือความสามารถในการทำกำไรจากร้านค้าปลีกสาขาเดิมของดอลลาร์เจนเนอรัล จากไตรมาสที่ 1 ตัวเลขในรายการนี้เคยสร้างสถิติกระโดดขึ้นเอาไว้ที่ 21.7% ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 14 ปีเป็นอย่างน้อย
หุ้นที่ควรเลี่ยง
Kohls (จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 18 สิงหาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด)
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น: -162.2% แบบปีต่อปี
คาดการณ์การเติบโตของตัวเลขผลกำไร: -27.8% แบบปีต่อปี
ในขณะที่หุ้น 3 ตัวก่อนหน้านี้ถือเป็นหุ้นที่มีอนาคตสดใสแต่เมื่อเทียบกับของบริษัท Kohls (NYSE:KSS) แล้วพบว่ากราฟหุ้นมีราคาวิ่งอยู่ในระดับต่ำมาตลอดทั้งปี 2020 และยังไม่สามารถหาทางที่จะซื้อใจผู้บริโภคได้ แม้ว่า Kohls จะมีร้านค้าปลีกอยู่มากถึง 1,100 สาขาทั่วประเทศแต่ระบบการค้าขายโลกออนไลน์กลับไม่ปังเหมือนอย่างบริษัทอื่นๆ นับตั้งแต่ต้นปี 2020 มาจนถึงปัจจุบันหุ้นของ Kohls ปรับตัวลดลงมากกว่า 54% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $23.42 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในไตรมาสที่ 1 การรายงานผลประกอบการของ Kohls พบว่าลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ดังนั้นในไตรมาสที่ 2 นี้นักวิเคราะห์จึงมองว่าอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจะลดลงจาก $1.55 ต่อหุ้นในปี 2019 เหลือ $0.98 สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ได้รับจากร้านค้าปลีกในการฝ่ามรสุมโควิด-19 เมื่อเทียบตัวเลขผลกำไรในช่วงเวลาเดียวกันระหว่างปีนี้กับปีที่แล้วพบว่าลดลง 28% เหลือ $3,010 ล้านเหรียญสหรัฐ
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจกับผลประกอบการครั้งนี้ของ Kohls คือตัวเลขยอดขายของออนไลน์ของบริษัทที่ในไตรมาสที่ 1 เพิ่มขึ้นเพียง 24% เท่านั้น