ความเชื่อที่ตรงกันในประเด็นทางเศรษฐกิจคือการเชื่อว่างวด 2Q63 จะเป็นจุดตjeสุดของGDP รวมถึงการทํากําไรของบริษัทจดทะเบียน ซึงภายในช่วงกลางเดือนนี้ เราคงจะได้เห็น
ว่าจุดต่ำสุดของแต่ละเรืองอยู่ทีบริเวณไหน และจะลึกมากกว่าทีคิดหรือไม่ เริ่มจากผลประกอบการ 2Q63 ของบริษัทจดทะเบียนซึงทยอยประกาศออกมาต่อเนืองและน่าจะจบ
ในวันที14 ส.ค. เบืองต้นคาดเห็นกําไรสุทธิอยู่ทีบริเวณ1 แสนล้านบาท ต่ำกว่าฐานในภาวะปกติราวครึงหนึง ซึงน่าจะนําไปสู่การปรับลดประมาณการกําไรปีลงอีกรอบ
เบื้องต้นคาดปรับลดไม่น้อยกว่า 10 % จากประมาณการเดิม หลังจากนั้นในวันที 17 ส.ค 63.จะมีการรายงานตัวเลข GDP งวด 2Q63 ซึงฝ่ายวิจัย คาดว่าจะหดตัว 15% YoY อย่างไรก็ตามในช่วงก่อนหน้านี้เห็นหลายสํานักวิจัยออกมาทยอยปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ลงมาอีกรอบหนึง นอกจากการรายงานตัวเลขที่สําคัญทั้ง รายการแล้ว ยังต้องตามเรืองการพิจารณาข้อตกลงการค้า สหรัฐฯ-จีน ซึงถือเป็นอีกประการหนึง สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวน่าจะทําให้เกิดแรงกดดันต่อ SET Index ช่วงกลางเดือน ก่อนทีจะผ่อน
คลายในช่วงปลายเดือน วันนี้ไม่มีการปรับพอร์ตหุ้น
ตลาดจะต้องเผชิญความเสี่ยงจาก เหตุการณ์สําคัญที่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันในช่วงกลางเดือน ส.ค. คือ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ GDP 2Q63, การรอผลทบทวนข้อตกลงการค้าสหรัฐเฟสแรก และการรายงานงบงวด Q63 รวมถึงปรับประมาณการกําไรบริษัทจดทะเบียนลง แต่หลังจากนันน่าจะเป็นเหมือน “ฟ้าหลังฝน” คือ เป็นโอกาสทยอยเข้าสะสมในตลาดหุ้นไทย จากทิศทางเศรษฐกิจทีน่าจะผ่านพ้นจุดตําสุดไปแล้ ว รวมถึงแรงผลักดันจากสภาพคล่องส่วนเกินทีล้นระบบช่วยหนุนอีกแรง ดังนั้นในช่วงนี้กลยุทธ์เน้นเลือกลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำ ปันผลสูง พร้อมกับกําไรอยู่ ในระดับ ทีดีกว่าตลาดอย่าง เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (BK:MCS), อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (BK:INTUCH)
บทวิเคราะห์จาก บลจ. เอเชีย พลัส