ก้าวเข้าสู่เดือนสิงหาคมอย่างเป็นทางการ ในเดือนนี้นักลงทุนอาจจะต้องคิดหาเหตุผลใหม่ในการเข้าซื้อหุ้นที่สามารถเอาตัวรอดมาจากวิกฤตโรคระบาดได้อย่างน่าประหลาดใจ เมื่อมองย้อนกลับไปดูผลงานของดัชนีหลักๆ ในเดือนที่แล้วพบว่า S&P 500 สามารถปิดเดือนด้วยผลงานขาขึ้น 5.5% ในขณะที่ NASDAQ ก็สามารถทำขาขึ้นได้ 6.8% ความดีความชอบนี้ NASDAQ ต้องยกให้กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชิ่อดังอย่าง “FANGMAN” ที่ช่วยกันสร้างตัวเลขผลประกอบการทะลุเป้าในไตรมาสล่าสุดกันได้หมด
ถึงแม้ช่วงเวลาแห่งการรายงานผลประกอบการยังไม่จบแต่หลังจากที่ได้ทราบผลตัวเลขจากบริษัทดังๆ กันไปแล้วนักวิเคราะห์จะหันไปให้ความสนใจกับเกมการเมืองสหรัฐฯ ต่อ สภาคอนเกรสยังไม่สามารถหาข้อสรุปให้กับมาตรการเงินเยียวยาคนตกงาน $600 ต่อสัปดาห์ที่พึ่งจะหมดอายุลงไปเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมได้ ในสัปดาห์นี้เราจะมาดูกันว่ามีบริษัทไหนที่นักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
1. Disney
อาณาจักรมิกกี้เมาส์หรือ “ดิสนีย์” (NYSE:DIS) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ในวันอังคารที่ 4 สิงหาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขผลกำไรของไตรมาสนี้จะอยู่ที่ $12,440 ล้านเหรียญสหรัฐและตัวเลขการปันผลกำไรจะลดลงเหลือ $0.61 ต่อหุ้น
บริษัทดิสนีย์กำลังอยู่ในช่วงฝ่ามรสุมเนื่องจากธุรกิจหลักๆ ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกจนทำให้รีสอร์ทและดิสนีย์แลนด์หลายๆ แห่งของโลกไม่สามารถเปิดให้บริการได้อย่างเต็ม 100%
ในไตรมาสที่ 1 บริษัทดิสนีย์รายงานผลประกอบการที่ขาดทุนไปมากถึง $1,400 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเฉพาะ $1,000 นี่คือกำไรที่หายไปจากการปิดดิสนีย์แลนด์ล้วนๆ ความหวังเดียวที่ดิสนีย์เหลืออยู่ในตอนนี้คือการเติบโตของยอดสมาชิก “ดิสนีย์พลัส (Disney+)” บริการภาพยนตร์สตรีมมิ่งที่พึ่งเปิดให้บริการไปเมื่อปลายปี 2019 ซึ่งได้รับประโยชน์มาจากการปิดล็อกเมืองในช่วงแรกที่การระบาดมาถึงสหรัฐอเมริกา
ตลอดทั้งปี 2020 จนถึงปัจจุบันหุ้นมิกกี้เมาส์ปรับตัวลดลงมาแล้ว 19% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $116.94 ปัจจุบันหุ้นดิสนีย์วิ่งขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของเดือนมีนาคมได้จากความหวังของนักลงทุนที่เชื่อว่าหุ้นดิสนีย์จะกลับมาดีดังเดิมได้เมื่อวิกฤตโควิดจบลง
2. Uber Technologies
บริษัทเจ้าของบริการเรียกรถโดยสารสาธารณะผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ “อูเบอร์” (NYSE:UBER) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขกำไรของอูเบอร์ในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ $2,090 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรลดลงเหลือ $0.8 ต่อหุ้น ล่าสุดมีราคาปิดอยู่ที่ $30.26
หุ้นอูเบอร์สามารถเอาตัวรอดขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของเดือนมีนาคมได้ด้วยการปรับแผนธุรกิจกระจายความเสี่ยงและการลดต้นทุน ในเดือนพฤษภาคมอูเบอร์ได้ประกาศลดต้นทุนครั้งสำคัญในหลายๆ บริการเช่นการขายหุ้นธุรกิจส่งอาหารมากกว่าครึ่งให้กับบริษัทอื่นซึ่งรวมไปถึงการตัด “คารีม (Careem)” แอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ที่โด่งดังมากในแถบตะวันออกกลางออกไป
ไม่รู้ว่าจะสามารถเรียกการตัดสินใจของอูเบอร์ครั้งนี้ว่าเป็นความผิดพลาดได้หรือไม่เพราะแม้การลดความเสี่ยงของอูเบอร์จะช่วยให้บริษัทสามารถเอาตัวรอดมาได้จริง แต่ธุรกิจการส่งอาหารกลับเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในหลายๆ ประเทศที่อูเบอร์ตัดสินใจขายกิจการทิ้งไป แม้ตัวตัว “Uber Eats” เองยังได้รับความนิยมและมียอดใช้บริการเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกมาถึง 52% หรือคิดเป็น $4,680 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวในปี 2019
สิ่งที่นักลงทุนจะมองหาในรายงานผลประกอบการของอูเบอร์ในครั้งนี้คือตัวเลขที่สามารถบ่งบอกได้ว่าบริษัทได้ผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดมาแล้ว
3. Microsoft
แม้การรายงานผลประกอบการของบริษัทไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) รอบนี้จะผ่านไปแล้วแต่ข่าวฮือฮาที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในช่วงก่อนสิ้นเดือนกรกฎาคมคือการแบนแอปพลิเคชัน “ติ๊กตอก (TikTok)” ในสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งถือเป็นการดับฝันของบริษัทไมโครซอฟท์ที่กำลังจะเข้าซื้ออยู่ทันที ในสัปดาห์นี้เราต้องมาจับตาดูกันต่อว่าฝั่งติ๊กตอกจะสามารถเคลียร์ข้อกล่าวหาที่รัฐบาลทรัมป์อ้างว่าทำแบนไปเพื่อเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกันอย่างไร
ปัจจุบันหุ้นไมโครซอฟท์มีราคาปิดอยู่ที่ $205.01 ปรับตัวขึ้นมาแล้วตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงปัจจุบัน 30% ซึ่งเราเชื่อว่าข่าวการแบนติ๊กตอกจะกระทบต่อหุ้นบริษัทในการเปิดตลาดวันจันทร์นี้ อ้างอิงข้อมูลจาก Wall Street Journal เผยคำพูดของ CEO ของไมโครซอฟท์นายสัตยา นาเดลลาว่า “การเข้าซื้อติ๊กตอกถือเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจของบริษัทและเป็นการให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า”
อนึ่ง ติ๊กตอกเป็นผลงานของบริษัท ByteDance ซึ่งถูกปล่อยออกมาในปี 2017 ตลอด 3 ปีที่ผ่านมายอดผู้ใช้งานติ๊กตอกมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ช่วงเวลาที่เพิ่มมากที่สุดเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตไวรัสโคโรนาระบาด ในเดือนเมษายนเดือนเดียวพบว่ามียอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 2 พันล้านครั้ง (อ้างอิงข้อมูลจาก Sensor Tower) สำนักข่าวรอยเตอร์มีรายงานว่านักลงทุนของ ByteDance กำลังพยายามที่ซื้อติ๊กตอกในมูลค่า $50,000 ล้านเหรียญสหรัฐให้ได้