การรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดของบริษัทโซเชียลมีเดียชื่อดังอย่างเฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) และอัลฟาเบตบริษัทแม่ของกูเกิล (NASDAQ:GOOGL) เชื่อว่านักลงทุนจะได้เห็นตัวเลขการโฆษณาบนแพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ต่อเนื่องมาจากไตรมาสที่แล้ว
สำหรับเฟซบุ๊กนักวิเคราะห์คาดว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะได้ทราบตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.39 และมีตัวเลขยอดขายอยู่ที่ $17,330 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงที่โควิดระบาดแม้เฟซบุ๊กจะมีตัวเลขผลกำไรที่เติบโตมาจากธุรกิจการส่งข้อความออนไลน์ การโทรทั้งรูปแบบเสียงและวิดีโอออนไลน์ผ่านแอปพลเคชัน “Messenger และ WhatsApp” แต่กำไรของบริษัทก็ได้รับผลกระทบจากการระงับการโฆษณาของบริษัทยักษ์ใหญ่มากกกว่า 1,000 บริษัทบนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กและบริษัทอื่นๆ ที่จำเป็นต้องลดงบการโฆษณาบนสื่อโซเชียลมีเดียลงเพื่อความอยู่รอด
รายงานจาก Wall Street Journal เมื่อสัปดาห์ที่แล้วระบุว่าดิสนีย์ (NYSE:DIS)ซึ่งเป็นบริษัทผู้ฝากโฆษณาอันดับหนึ่งบนเฟซบุ๊กตัดสินใจหั่นงบโฆษณาบนเฟซบุ๊กลงเยอะมาก ดิสนีย์คือลูกค้าชั้นยอดของเฟซบุ๊กมาตลอดครึ่งปีแรกของปี 2020 จ่ายเงินมากกว่า $210 ล้านเหรียญสำหรับการโปรโมต “ดีสนีย์พลัส” นอกจากดิสนีย์แล้วยังมีแบรนด์ชื่อดังอื่นๆ ร่วมกันงดโฆษณาบนเฟซบุ๊กอีกอย่างเช่นโคคาโคลา (NYSE:KO) บริษัทผู้ผลิตน้ำอัดลมชื่อดังและเวอไรซอน (NYSE:VZ)ซึ่งพวกเขาให้เหตุผลเดียวกันว่าบริษัทเฟซบุ๊กยังไม่สามารถแก้ไขปัญหา hate speech และการกรองเนื้อหาที่สามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ดีพอ
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจกับการรายงานผลประกอบการครั้งนี้ของเฟซบุ๊กมากที่สุดคือผลกระทบกับยอดขายที่เกิดขึ้นจากการคว่ำบาตรและพวกเขาจะคาดการณ์กันว่าจะส่งผลกระทบไปตลอดทั้งปี 2020 เลยหรือไม่ คำตอบที่ได้จะส่งผลกระทบต่อทิศทางหุ้นเฟซบุ๊กต่อไปในอนาคต ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นเฟซบุ๊กปรับตัวขึ้นมาแล้ว 14% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $230.12
ความแข็งแกร่งอย่างหนึ่งที่ทำให้เฟซบุ๊กแตกต่างจากบริษัทโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่พยายามขึ้นมาท้าชิงตำแหน่งราชาโซเชียลมีเดียคือความสามารถในการกระจายความเสี่ยงของรายได้จากการโฆษณาของเฟซบุ๊กซึ่งมีลูกค้าอยู่หลายลำดับชั้นมาก แม้ว่าบริษัทใหญ่ๆ อย่างยูนิลิเวอร์ (NYSE:UL) หรือโคคาโคลาจะรวมตัวกันคว่ำบาตรและสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งเฟซบุ๊กแต่บริษัทอื่นๆ ที่มีขนาดธุรกิจเล็กลงมากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แม้จะเห็นด้วยกับการคว่ำบาตรก็ตาม
เฉพาะธุรกิจขนาดเล็กเฟซบุ๊กมีลูกค้าที่ฝากโฆษณาอยู่มากถึง 8 ล้านรายที่จำเป็นต้องพึ่งพาการโฆษณาบนเฟซบุ๊กและเรียกได้ว่าการไม่โฆษณาบนเฟซบุ๊กคือไม่มีรายได้เลยทีเดียว ในปี 2019 เฟซบุ๊กมียอดขายเฉพาะจากการฝากโฆษณาทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น $69,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นนักวิเคราะห์จึงคาดการณ์ว่าการรวมใจกันคว่ำบาตรของแบรนด์ดังๆ อาจจะทำได้เพียง “ชะลอ” ตัวเลขการเติบโตทางผลกำไรจากการฝากโฆษณาในเดือนมิถุนายนได้เพียง 3% เท่านั้น
ส่วนกูเกิลนักวิเคราะห์มองว่าผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อกำไรจากการฝากโฆษณาไม่ได้ต่างไปจากบริษัทเฟซบุ๊ก พวกเขาคาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทอัลฟาเบตจะมีตัวเลขอยู่ที่ $8.04 และมีตัวเลขยอดขายทั้งหมดอยู่ที่ $37,300 ล้านเหรียญสหรัฐ กูเกิลมีโครงสร้างทางธุรกิจที่พึ่งพาการฝากโฆษณาจากธุรกิจขนาดเล็กอย่างหนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวและสุขภาพซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 มากที่สุด นักวิเคราะห์ชื่อดังหลายๆ ท่านค่อนข้างเห็นตรงกันว่าปีนี้ยอดขายของกูเกิลจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้กระทั่ง CFO ของบริษัทนาย Ruth Porat ยังออกมาพูดเมื่อเดือนเมษายนด้วยตัวเองว่า “ปีนี้จะเป็นปีที่ยากลำบากของพวกเรา”
ถึงกระนั้นการกระจายความเสี่ยงของกูเกิลอาจจะช่วยให้กูเกิลฝ่าวิกฤตโรคระบาดในปีนี้ไปได้ การลงทุนในธุรกิจคลาวด์คือธุรกิจหนึ่งของกูเกิลที่เริ่มออกดอกออกผลแล้ว เฉพาะในไตรมาสแรกของปี 2020 ธุรกิจคลาวด์ของกูเกิลสามารถทำยอดขายให้บริษัทเพิ่มขึ้นถึง 52% นอกจากนี้ยังมีเงินที่ได้จากธุรกิจบน YouTube การอนุญาตให้ซื้อหุ้นคืนและสภาพคล่องของบริษัทที่ถือว่าไม่เป็นสองรองใครในกลุ่ม FANGMAN ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นกูเกิลขึ้นมาแล้ว 14% และมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $1503.65
โดยสรุปแล้ว
ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ครั้งนี้นักลงทุนไม่ควรคาดหวังให้ยอดขายของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสองสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฟซบุ๊กและกูเกิลต่างได้รับผลกระทบจากความสามารถในการฝากโฆษณาของบริษัทผู้ฝากที่ลดลง แต่ด้วยการใช้เงินเพื่อลงทุนอย่างคุ้มค่าและการมีสภาพคล่องที่ดีเชื่อว่าทั้งกูเกิลและเฟซบุ๊กจะสามารถกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งเมื่อเศรษฐกิจโลกสามารถฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง