- บริษัทอินเทลจะรายงานผลประกอบการในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคมตามเวลาประเทศไทยหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด
- คาดการณ์ผลประกอบการ: $18,530 ล้านเหรียญสหรัฐ
- คาดการณ์ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS): $1.11
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกนามอินเทล (NASDAQ:INTC) คือหนึ่งในผู้ที่รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นักลงทุนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าหุ้นของอินเทลจะพุ่งขึ้นทันทีที่ได้ทราบรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่ออกมาและบอกว่า “มีความต้องการชิปคอมพิวเตอร์ของเราเพื่อใช้บนคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมากขึ้นในช่วงที่โควิดทำให้ผู้คนต้องเปลี่ยนมาทำงานอยู่ที่บ้านแทนที่จะออกไปที่ทำงาน”
อินเทลเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่น่าจะเรียกได้ว่าได้รับผลกระทบจากโควิดบ้างพอเป็นพิธีเมื่อเทียบกับริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัททั้งหลายเริ่มตั้งหลักได้และเริ่มสั่งซื้อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คให้กับพนักงานบริษัทตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้ความต้องการชิปคอมพิวเตอร์เพื่อทำศูนย์กลางข้อมูลของบริษัท การทำวิดีโอคอนเฟอเรนซ์และการสตรีมมิ่งยิ่งทำให้ชิปประมวลผลของอินเทลเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น
ความต้องการชิปคอมพิวเตอร์เพื่อทำคอมพิวเตอร์พีซีแรงๆ ได้กลายเป็นกระแสหลักในโลกเทคโนโลยีและทำให้ยอดขายชิปอินเทลเพิ่มขึ้น 14% ในไตรมาสแรกและอินเทลยังได้มาอีก 43% จากเฉพาะความต้องชิปเพื่อไปทำศูนย์กลางข้อมูลล้วนๆ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมหุ้นของอินเทลจึงสามารถวิ่งขึ้นได้เป็นอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรก ล่าสุดเมื่อวานนี้หุ้นอินเทลมีราคาปิดอยู่ที่ $61.08 ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคม 40% และตลอดทั้งปี 2020 หุ้นอินเทลขึ้นมาแล้วจนถึงปัจจุบัน 2%
ความต้องการนี้จะยั่งยืนไปอีกนานแค่ไหน?
เป็นคำถามที่มาคู่กับขาขึ้นโดยตลอดว่า “ขาขึ้นนี้จะขึ้นไปได้ตลอดหรือไม่” ในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเราก็ไม่สามารถมองเห็นอนาคตและหาคำตอบที่ชัดเจนมาให้กับคำถามนี้ได้ อินเทลอาจจะเจอปัญหายอดขายชะลอตัวลงก็เป็นได้เพราะในช่วงครึ่งปีหลังคือช่วงเวลาที่ตลาดมั่นใจว่าเศรษฐกิจได้ผ่านจุดที่ย่ำแย่ที่สุดมาแล้วนับตั้งแต่ปี 2008
บ๊อบ สวาน CEO ของอินเทลเคยบอกกับนักวิเคราะห์เมื่อเดือนเมษายนว่า “ภาพรวมความต้องการของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังยิ่งไม่มีความชัดเจนมากกว่าครึ่งปีแรกเพราะช่วงต้นปีเรายังมียอดขายมาจากความต้องการคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานอยู่บ้านแต่เมื่อทุกคนสามารถออกไปใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้วและโลกยังไม่ได้เข้าสู่ยุคดิจิทัล 100% ความต้องการนี้ก็อาจจะชะลอตัวลง”
ในปี 2019 หนึ่งในปัจจัยที่ชะลอความสำเร็จของอินเทลเอาไว้คือความสามารถในการผลิตชิปคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่เพราะคู่แข่งคนสำคัญอย่างบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing (NYSE:TSM) และ Advanced Micro Devices (NASDAQ:AMD) สามารถผลิตชิปคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าและสามารถกดต้นทุนให้ต่ำกว่าของอินเทลได้ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าการผลิตชิปคอมพิวเตอร์คือช่องทางการทำมาหากินหลักของอินเทล
เพื่อจะรักษาตำแหน่งผู้นำแห่งวงการเอาไว้ในปีเดียวกันนั้นเองอินเทลก็ได้ตัดสินใจลงทุนเงินจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปคอมพิวเตอร์ของตนเองจนสามารถผลิตชิปคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดความยาว 10 นาโนเมตรหรือเล็กกว่าขนาดความกว้างของเส้นผมมนุษย์ออกมาได้สำเร็จ แม้ชิปตัวนี้จะสามารถสู้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัทคู่แข่งได้อย่างสมน้ำสมเนื้อแต่บริษัทคู่แข่งอื่นๆ โดยเฉพาะ AMD ก็ยังถือว่าเป็นภัยคุกคามอินเทลอยู่ ที่สำคัญคือ AMD เริ่มขยับมาเล่นตลาดศูนย์กลางข้อมูลแล้ว
ล่าสุดข่าวร้ายอีกหนึ่งอย่างของอินเทลคือบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ตัดสินใจยุติความสัมพันธ์อันยาวนานตลอด 15 ปีหันมาผลิตชิปประมวลผลเป็นของตัวเองทำให้อินเทลเสียลูกค้ารายใหญ่มากๆ ไปแล้วเรียบร้อย
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญก็ยังแนะนำให้ซื้อหุ้นของอินเทลเอาไว้เพราะอัตราส่วนราคาต่อผลกำไร (P/E Ratio) ถือว่าอยู่ในจุดที่คุ้มทุนและหุ้นยังมีราคาถูก ที่สำคัญอินเทลไม่เคยละเลยที่จะให้ความสำคัญกับแผนกวิจัยและค้นคว้าของตัวเองเพื่อที่จะสามารถผลิตชิปคอมพิวเตอร์ที่ดีออกมาอีกในอนาคต ในแง่ของการปันผลกำไรรายปีหุ้นอินเทลสามารถปันได้ $1.32 ต่อหุ้นคิดเป็นอัตราการเติบโตประมาณ 7% ต่อปี
โดยสรุปแล้ว
อินเทลยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในวงการเซมิคอนดักเตอร์และยังได้รับประโยชน์จากการแสโลกที่ต้องเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัลไวขึ้นเพราะวิกฤตโควิด-19 จากตรงนี้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีจะกลายเป็นกระแสหลักของโลกอย่างแท้จริงและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนจึงควรมีหุ้นอินเทลเอาไว้ในพอร์ตการลงทุนระยะยาว