ในช่วงไม่กี่วันต่อจากนี้ความเข้มข้นในการรายงานผลประกอบการของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น แน่นอนว่าหุ้นที่ทุกคนกำลังจับตาดูรายงานผลประกอบการก็หนีไม่พ้นกลุ่มบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Amazon (NASDAQ:AMZN), Apple (NASDAQ:AAPL), Microsoft (NASDAQ:MSFT), Google (NASDAQ:GOOGL) และ Facebook (NASDAQ:FB) แต่จะเป็นการดีแค่ไหนหากคุณลองหันมาให้ความสนใจในหุ้นบริษัทที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังและสามารถให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงหุ้น 3 ตัวที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความสามารถที่จะแสดงรายงานผลประกอบการและการเติบโตของบริษัทได้ไม่แพ้กับบริษัทชื่อดัง พวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่าสามารถเอาตัวรอดมาจากวิกฤตโควิดในช่วงไตรมาสที่ 1 ได้
1. Zendesk (จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 30 กรกฎาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด)
หุ้นของบริษัทผู้ให้บริการพัฒนาซอฟท์แวร์ตามความต้องการของลูกค้า Zendesk (NYSE:ZEN) สามารถขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมมาจนถึงปัจจุบันได้ 66% เนื่องจากหลายๆ บริษัทต้องเร่งย้ายฐานข้อมูลขึ้นมาอยู่ในระบบศูนย์กลางข้อมูลที่อยู่คลาวด์เพราะรัฐบาลสั่งให้มีการล็อกดาวน์ในช่วงไตรมาสแรกและหลายบริษัทจำเป็นต้องยอมปิดร้านขายปลีกของตัวเองในพื้นที่เสี่ยงติดโรคระบาดลง
หุ้นของ Zendesk ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $96.79 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $94.81 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $10,800 ล้านเหรียญสหรัฐ
Zendesk จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ในวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดและถูกคาดหวังจากนักลงทุนให้มีตัวเลขผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการของลูกค้าในช่วงโควิดและการใช้งานแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า “Sunshine Conversations” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากสื่อโซเชียลมีเดียและข้อความเข้ามาไว้ในหน้าสนทนาเดียวโดยที่ผู้ใช้งานยังสามารถติดต่อพูดคุยกับลูกค้าของตนได้อย่างไม่มีสะดุด
นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นของ Zendesk จะมีตัวเลขอยู่ที่ $0.10 ซึ่งหากทำได้จะเป็นการเพิ่มตัวเลขการปันผลแบบปีต่อปีของบริษัทขึ้นเป็น 100% ส่วนกำไรที่คาดว่าบริษัทจะสามารถทำได้ในไตรมาสนี้มีตัวเลขอยู่ที่ $240.54 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากนี้สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจในรายงานผลประกอบการของ Zendesk คือตัวเลขยอดผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น ในไตรมาสแรกรายงานระบุว่ามีลูกค้าที่ชำระค่าบริการให้กับ Zendesk มากถึง 160,600 รายเพิ่มขึ้น 10% แบบปีต่อปี
2. Twilio (จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 6 สิงหาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด)
หุ้นของแพลตฟอร์มเพื่อการสื่อสารผ่านระบบคลาวด์สำหรับผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ Twilio (NYSE:TWLO) ทะยานขึ้น 210% นับตั้งแต่จุดต่ำสุดในช่วงเดือนมีนาคมและสามารถทำผลงานได้ดีมาตลอดในช่วงที่โควิดระบาด บริษัทซอฟท์แวร์แอปพลิเคชั่นที่ให้บริการผ่านอินเทอร์เนตเป็นเว็บแอปพลิเคชั่นกำลังยินดีอยู่กับปริมาณความต้องการใช้บริการระบบคลาวด์เพิ่มขึ้นเพราะลูกค้าที่เป็นกลุ่มธุรกิจต้องการลงทุนและอัปเกรดระบบออนไลน์ของบริษัทตัวเองให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นในช่วงโควิด
หุ้น Twilio มีจุดสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ $264.43 และมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $254.32 ปัจจุบันบริษัท Twilio มีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ $36,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสที่แล้ว Twilio สร้างผลงานตัวเลขรายงานผลประกอบการออกมาดีเกินคาด ดังนั้นนักลงทุนจึงตั้งความหวังนี้เอาไว้อีกกับการรายงานผลฯ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 6 สิงหาคมนี้
นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 2020 จะมีตัวเลขอยู่ที่ $0.09 ต่อหุ้นเทียบกับตัวเลขเดิมในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ $0.03 สะท้อนให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่บริษัททุ่มเททำมามีความต้องการในตลาดเพิ่มมากขึ้น ตัวเลขผลกำไรในไตรมาสนี้นักวิเคราะห์มองเอาไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 คิดเป็นตัวเลข $367.9 ล้านเหรียญสหรัฐเพราะนักวิเคราะห์มองว่าลูกค้าในกลุ่มสุขภาพต้องการใช้บริการของ Twilio ในการต่อสายตรงเพื่อสุขภาพ
นอกจากตัวเลขผลกำไรและการปันผลแล้วสิ่งที่นักลงทุนต้องการจะดูอีกคือยอดผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มว่าบริษัทจะสามารถรักษายอดตัวเลขเดิมเอาไว้และมีตัวเลขยอดผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ในไตรมาสที่ 1 พบว่า Twilio มียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นมากถึง 190,000 คนคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019
3. Datadog (จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 6 สิงหาคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด)
หุ้นของบริษัทผู้พัฒนาซอฟท์แวร์ไอที Datadog (NASDAQ:DDOG) สามารถทำผลงานขาขึ้นจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมมาจนถึงปัจจุบันได้มากถึง 172% และเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาหันมาใช้ระบบคลาวด์แก้ปัญหาให้กับลูกค้า
หุ้น Datadog สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $98.99 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $85.22 และมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ $27,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสแรกผลกำไรของ Datadog สามารถทำให้นักวิเคราะห์ต้องประหลาดใจได้ ดังนั้นในครั้งนี้นักลงทุนจึงคาดหวังให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก
นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นของ Datadog จะมีตัวเลขอยู่ที่ $0.01 ต่อหุ้นซึ่งจะเท่ากับว่าอัตราการเติบโตแบบปีต่แปีจะเพิ่มขึ้นถึง 300% ส่วนตัวเลขผลกำไรคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 165% หรือคิดเป็น $135.4 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว เมื่อโควิด-19 ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับตัวเองให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้นจึงทำให้นักลงทุนคาดหวังจะได้เห็นยอดผู้ใช้หน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน อย่างน้อยที่สุดในไตรมาสที่ 2 นี้ต้องได้เห็นมากกว่า 3,000 คนขึ้นไปเพราะในไตรมาสที่ 1 บริษัทมียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 11,500 คนเพิ่มขึ้น 40% แบบปีต่อปี
อีกส่วนหนึ่งที่นักลงทุนต้องการทราบข้อมูลคือตัวเลขรายรับที่เกิดขึ้นซ้ำต่อปีซึ่งจากยอดผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนต้องการเห็นตัวเลขในส่วนนี้มากกว่า $100,000 หรือมากกว่านั้นคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 89% จากการรายงานตัวเลขในไตรมาสก่อนหน้านี้