การฟื้นตัวชั่วคราวของเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังสะดุดจากความเสี่ยงของการแพร่ระบาดระลอกที่สอง แม้ว่ายอดค้าปลีกและการเริ่มต้นสร้างบ้านปรับตัวดีขึ้นในเดือนมิถุนายน แต่เครื่องชี้บางตัวสะท้อนว่าการแพร่ระบาดระลอกใหม่เริ่มส่ง ผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 10.8% ร่วงลงเกิน 10% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม ล่าสุดดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนกรกฏาคมร่วง ลงสู่ระดับ 73.2 ขณะที่จำนวนชั่วโมงทำงานเริ่มทรงตัว
ส่วนผู้ขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 กรกฎาคม มีจำนวน 1.31 ล้านราย สูงกว่าที่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีจำนวน 1.25 ล้านคน ถือเป็นสัปดาห์ที่ 17 ที่มีจำนวนผู้ ขอรับสิทธิเกินกว่า 1 ล้านคน ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดบ่งชีว้่าสหรัฐฯเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่บั่นทอนการฟื้นตัว ทั้ง (i) การแพร่ระบาดระลอกที่สองที่รุนแรง มากขึ้น จำนวนผู้ติดเชือ้รายใหม่ต่อวันแตะระดับกว่า 7 หมื่นราย หลายเมืองกลับมาใช้มาตรการปิดเมืองอีกครั้ง (ii) อัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูงอาจเพิ่มขึ้นอีก จากปัญหาสภาพคล่อง ภาระหนี้ธุรกิจจะล้มละลายและต้องเลิกจ้างพนักงาน เช่น ธุรกิจค้าปลีก และสายการบิน และ (iii) ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีนเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯจะระงับการออกวีซ่าแก่พนักงานของบริษัทจีนที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะที่รัฐบาลจีนตอบโต้โดยขึ้น บัญชีนักการเมืองระดับสูงของสหรัฐฯ ที่แทรกแซง กิจการภายในจีน
ECB เตือนความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่่สหภาพยุโรปยังไร้ข้อสรุปในการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเขตยูโรโซนเดือนพฤษภาคมลดลง 20.9% YoY ต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยลดลงมากทั้งในฝรั่งเศส (-24.0%) เยอรมนี (-23.1%) และอิตาลี (-20.3%) ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและวงเงินในการซื้อพันธบัตร ตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ที่ระดับ 1.35 ล้านล้านยูโร โดยจะซื้อพันธบัตรตามโครงการนี้จนถึงเดือนมิถุนายน 2564 ประธาน ECB ระบุว่าจะยังคงไม่ใช้เงินโครงการ PEPP ทั้งหมดตามจำนวนดังกล่าวและยืนยันว่าจะสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัส
เศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรปยังคงอ่อนแอ ทั้งยังมีอุปสรรคอีกหลายประการ ได้แก่ (i) สถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังรุนแรง ขณะที่พบการระบาดระลอกสองแบบเป็นกลุ่มก้อนในหลายประเทศ จำเป็นต้องใช้มาตรการปิดเมืองในพื้นที่แพร่ระบาดอีกครั้ง (ii) ภูมิภาคยุโรปยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากอุปสงค์ในประเทศทีอ่อนแอ ทั้งยังมีความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อภายหลังจากมาตรการค้ำประกันเงินกู้ของรัฐบาลหมดอายุลง ส่งผลให้ระดับหนี้พุ่งสูงขึ้น และ (iii) ความขัดแย้งเกี่ยวกับกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรป (วงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร) ซึ่งสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) บางประเทศไม่เห็นด้วยกับการจัดสรรเงินให้เปล่า (วงเงิน 5 แสนล้านยูโร) แต่ต้องการให้จัดสรรเป็นเงินกู้แทน ส่งผลให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความ ล่าช้า อันจะเพ่ิมความเสีย่ งต่อภูมิภาคยุโรปมากยิ่งขึน
เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่นแต่การระบาดซ้ำในหลายประเทศอาจกระทบต่อการส่งออกในระยะต่อไป ในไตรมาส 2 GDP ขยายตัว 3.2% YoY สูงกว่าที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.5% การฟื้นตัวนำโดยการผลิตภาคอุตสาหกรรม (4.4%)และการก่อสร้าง (7.8%) ส่วนภาคบริการยังขยายตัวต่ำ (1.9%) สำหรับยอดการส่งออกในเดือนมิถุนายนนั้นเพิ่มขึ้น 4.3% แม้ว่ายอดการค้าปลีกในเดือนมิถุนายนยังหดตัว 1.8% แต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่หดตัวถึง 2.8% หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น จีนมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้เร็วกว่า เนื่องจาก (i) การใช้การลงทุนเป็นตัวขับเคลื่อนโดยสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ได้กำหนดเป้าหมายสำหรับการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นที่4.6% ของ GDP (สูงกว่า 4 ล้านล้านหยวน) บ่งชีว้่าการออกพันธบัตรดังกล่าวจะขยายเป็นสองเท่าของปีก่อน ซึ่งจะหนุนโครงสร้างพื้นฐาน (ii) ภาวะการจ้างงานปรับตัวดีขึ้นโดยอัตราการว่างงานเดือนมิถุนายนลดลงมาที่5.7% โดยเฉพาะแรงงานย้ายถิ่นในเมืองนั้น ได้กลับเข้ามาทำงานแล้วเกือบทงั้หมด ต่ำกว่าในช่วงก่อนการระบาดเพียง 3% เท่านั้น เทียบกับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่แรงงานกลุ่มนี้ ลดไปถึง 30% อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ด้านต่างประเทศที่มีต่อสินค้าส่งออกของจีนยังคงอ่อนแอ อีกทั้งยังอาจได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากการระบาดระลอกสอง
บทความนี้มาจากศูนย์วิจัยกรุงศรี สามารถอ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่ www.krungsri.com
อัพเดตอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท USD/THB | แปลงค่าเงิน