ธนาคารแห่งนี้เพิ่งประกาศผลดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ออกมาเมื่อคืนดังนี้
1. รายได้ของธนาคารแห่งนี้ทำได้ $17,800 ล้าน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ $18,400 ล้าน
2. กำไรลดลงจาก $6,200 ล้านในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 เหลือเพียง $2,400 ล้านในไตรมาสนี้
3. การตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้นเป็น $8,400 ล้านจากผลกระทบต่อลูกค้าในช่วงวิกฤต ในขณะที่ไตรมาสก่อนตั้งสำรองไปเพียง $3,100 ล้าน
4. นอกจากนี้ทางธนาคารยังลดเงินปันผลจากที่เคยจ่าย 51 เซ็นต์ เหลือเพียง 10 เซ็นต์ โดย Wells Fargo (NYSE:WFC) เป็นเพียงธนาคารเดียวจากทั้งหมด 6 ธนาคารใหญ่ ที่ทาง FED ให้ตัดลดเงินปันผลลงจากผลการรัน Stress Test
5. ตัวที่แย่อีกตัวคือ Net Interest Margin หรือส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยปล่อยกู้ของธนาคาร ตัวเลขนี้ยิ่งมากยิ่งดี
ในไตรมาสนี้ลดลงเหลือ 2.25% จากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วยังอยู่ที่ 2.82% ในขณะที่ไตรมาสที่ 1 ปีนี้ยังอยู่ที่ 2.58%
6. ข้อด้อยของ Wells Fargo เมื่อเทียบกับ JPMorgan Chase คือไม่มีหน่วยงานการเทรดหุ้นและบอนด์ที่สามารถสร้างกำไรให้ธนาคารอื่นได้อย่างมหาศาลในช่วงที่ตลาดหุ้นและบอนด์ผันผวน รวมทั้งพลังเงินอัดฉีดเข้ามาของ FED อีกด้วย
ผมมองว่าผลดำเนินงานของธนาคารในอเมริกาน่าจะสะท้อนมาที่ธนาคารบ้านเราได้ไม่มากก็น้อย
ถ้าผลดำเนินงานของธนาคารในไทยออกมาแย่เท่าที่คาดกันไว้ ก็พอถือกันต่อไหว
แต่ถ้าผลออกมาแย่กว่าที่คาดไว้อย่าง Wells Fargo คงสะท้อนออกมาที่หุ้นอย่างมาก
วันนี้หุ้นปรับตัวลดลงไป 4.57% #หุ้นอเมริกา
บทวิเคราะห์จาก เพจ Billionaire VI
ห้ามพลาด
♦รีวิวหุ้น Berkshire Halthaway(BRK) อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของวอร์เรน บัฟเฟตต์
♦กูรูหามูลค่าหุ้นระดับโลก มองราคาหุ้น Tesla (NASDAQ:TSLA) อย่างไร?