คำถามตอนนี้ที่นักลงทุนยังคงสงสัยและไม่สามารถหาคำตอบได้คือทำไมทั้งๆ ที่ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มสูงขึ้นแต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับยังสามารถทรงตัวอยู่ในตลาดกระทิงอยู่ได้ ล่าสุดยอดผู้ติดเชื้อของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.6% คิดเป็น 30,000 คนซึ่งถือเป็นตัวเลขที่กระโดดขึ้นมากที่สุดภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ รัฐฟอร์ริด้ายังคงมีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้ามาเรื่อยๆ จนดัชนี S&P 500 เริ่มชะลอตัวเป็นครั้งแรกในระยะเวลา 2 สัปดาห์
ถึงกระนั้นโดยภาพรวมของสัปดาห์ที่แล้วดัชนีสำคัญของสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นได้ S&P 500 ปรับขึ้น 1.8% ดาวโจนส์ขึ้น 1% และดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 3.7% ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดาดัชนีหลัก ดังนั้นหุ้นที่น่าสนใจ 3 ตัวสัปดาห์นี้จึงมีกลุ่มเทคโนโลยีรวมอยู่ด้วย
1. Apple (NASDAQ:AAPL)
สัปดาห์นี้คือสัปดาห์สำคัญของหุ้นบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) เพราะบริษัทพึ่งจะมีอีเวนท์เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ร่วมกับไอโฟน 12 ปีนี้ จากรายงานตัวเลขปีงบประมาณล่าสุดแอปเปิลมีรายได้จากธุรกิจมากถึง $46,000 ล้านเหรียญ 18% ของผลกำไรมาจากโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่างไอโฟน (iPhone) สิ่งที่น่าสนใจสำหรับการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ในปีนี้คือการเปลี่ยนชิปประมวลผลจากอินเทล (NASDAQ:INTC) มาเป็นชิปที่แอปเปิลผลิตเอง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “การเปลี่ยนชิปประมวลผลของแอปเปิลจะทำให้ผู้พัฒนาแอปฯ เจองานที่ท้าทายมากยิ่งขึ้นและยังต้องใช้เวลาที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลทุกรุ่นสามารถซิงค์กันได้อย่างลื่นไหลอย่างที่เป็นอยู่”
การฟื้นตัวของแอปเปิลขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมถือว่าทำได้อย่างน่าประทับใจ หุ้นแอปเปิลทะยานขึ้นมาแล้วมากกว่า 60% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $358.87 สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่เป็นที่เรียบร้อยจากงาน WWDC 2020 ที่พึ่งผ่านมาเมื่อคืน
2. Nike
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายนถือเป็นวันสำคัญสำหรับบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชื่อดังอย่างบริษัทไนกี้ (NYSE:NKE) เพราะจะมีรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ในวันนั้นหลังจากตลาดปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ $0.12 และมีตัวเลขยอดขายรวมอยู่ที่ $7,450 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในไตรมาสที่แล้วยอดขายของไนกี้ลดลงเนื่องจากผู้คนในยุโรปและสหรัฐฯ ถูกล็อกดาวน์ ยิ่งไปกว่านั้นร้านค้าตัวแทนจัดจำหน่ายยังต้องระงับการให้บริการชั่วคราว
ถึงกระนั้น CEO ของบริษัทไนกี้ยังคงยืนยันว่าการค้า e-commerce ของบริษัทยังอยู่ใน “เส้นทางการเติบโต” อยู่ “ในเวลาที่ผู้คนจำเป็นต้องอยู่กับบ้าน เราได้เปลี่ยนกลยุทธ์การขายของเราไปเป็นการซื้อขายผ่านแอปฯ ดิจิทัล พร้อมทั้งยังเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญการออกกำลังกายของไนกี้อีกด้วยซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆ เราสามารถวัดได้จากยอดจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้ Nike Training Club ที่เพิ่มขึ้น”
การแก้เกมอย่างทันท่วงทีของไนกี้ส่งผลให้หุ้นบริษัทสามารถขึ้นมาจากจุดต่ำสุด $60.58 มีราคาปิดปัจจุบันอยู่ที่ $99.51 คิดเป็นระยะทางการปรับตัวขึ้นมาทั้งหมด 58%
3. PG&E
ดูเหมือนว่าอนาคตแห่งความไม่ชัดเจนของบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในอเมริกาอย่าง PG&E (NYSE:PCG) จบลงแล้วเมื่อบริษัทได้รับการคุ้มครองตามสิทธิ์การยื่นขอล้มละลายในกฏหมายฟื้นฟูกิจการ(Chapter 11) จากศาลสหรัฐฯ กฎหมายฟื้นฟูกิจการนี้จะช่วยอุ้มบริษัท PG&E ที่ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาจากปัญหาไฟป่าในปี 2017 และ 2018
บิล จอห์นสัน CEO ของบริษัทรายงานกับสื่อหลังจากที่พึ่งได้รับสิทธิ์ตามกฎหมายคุ้มครองฯ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า “PG&E ยังมีโอกาสที่จะสามารถกลับมาได้หลังจากที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยมาตรฐานที่ดีที่สุดของภาครัฐ”
PG&E ยื่นขอล้มละลายตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2019 หลังจากที่บริษัทจะต้องรับผิดชอบผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คนจากเหตุไฟป่าที่เผาบ้านผู้คนที่อยู่ทางเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ล่าสุดหุ้นของ PG&E มีราคาปิดอยู่ที่ $9.97 ปรับตัวลดลงมากกว่า 5%
บทความห้ามพลาด
ศูนย์วิจัยกรุงศรีชี้วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา
'สิ่งมหัศจรรย์ทั้ง7'ของเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และตลาดการเงินปี 2020