บริษัท Home Depot ถูกก่อตั้งโดยนาย Bernard Marcus และนาย Arthur Blank ในปี 1978 ที่รัฐจอร์เจีย
ทำธุรกิจขายสินค้าอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน อุปกรณ์ทำสวน อุปกรณ์ก่อสร้าง รวมทั้งยังให้บริการติดตั้งและซ่อมเครื่องใช้ในบ้าน
เป็นร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลกถ้าวัดจากยอดขายในปี 2019
ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 2,291 ร้านในอเมริกา แคนาดา และ เม็กซิโก
มีส่วนแบ่งการตลาดที่สำรวจในไตรมาสที่สี่ ปี 2019 เป็นอันดับหนึ่งในอเมริกาด้วยสัดส่วน 34.3% ตามมาด้วย Lowe’s Home ที่ 24.8%
มีลูกค้าอยู่ 2 กลุ่มได้เแก่ 1)Do it yourself (DIY) เป็นลูกค้าเจ้าของบ้านที่ซื้อสินค้าไปปรับปรุงหรือตกแต่งบ้านเอง 2) Professional เป็นลูกค้าที่เป็นช่าง ผู้รับเหมาที่เข้ามาซื้อสินค้าเพื่อไปซ่อมหรือตกแต่งบ้านให้ลูกค้าอีกที สัดส่วนจำนวนลูกค้าแบบนี้คิดเป็น 3% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดแต่รายได้มีสัดส่วนถึง 40%
(NYSE: กดดูกราฟหุ้น HD)
กลยุทธ์ของบริษัทเน้น Omni-Channel ที่เชื่อมต่อประสบการณ์การช๊อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ
ลูกค้าสามารถสั่งของออนไลน์แล้วมารับของที่ร้านค้าได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ลูกค้าอยู่ในร้านก็สามารถเข้าไปดูการรีวิว การเปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าได้ทางออนไลน์
นอกจากนี้บริษัทยังเน้นให้บริการที่ดีเยี่ยมกับกลุ่มลูกค้า Professional เนื่องจากสร้างรายได้ให้มหาศาล
มีบริการพิเศษให้ลูกค้ากลุ่มนี้เช่น Private Label Credit Card (PLCC) ที่ให้วงเงินเครดิตกับลูกค้าโดยสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโปรแกรม ช่วยให้ช่างก่อสร้างมีวงเงินในการรับงานและขยายธุรกิจมากขึ้น
ช่างกลุ่มนี้ยังได้สิทธิ์ในการคืนของที่ซื้อไปแล้วนานถึง 365 วัน (365 days return policy) และยังมีการช่วยเหลือยืดระยะเวลาในการจ่ายเงินอีกด้วย
รายได้ของบริษัทในรอบ 3 ปีล่าสุดเป็นดังนี้ (รอบปีจบเดือนกุมภาพันธ์)
ในปี 2017 รายได้ $100,904 ล้าน กำไร $8,630 ล้าน
ในปี 2018 รายได้ $108,203 ล้าน กำไร $11,121 ล้าน
ในปี 2019 รายได้ $110,225 ล้าน กำไร $11,242 ล้าน
ยอดขายเติบโตขึ้นมาเฉลี่ย 4.32% แบบทบต้นในช่วงสามปีล่าสุด ส่วนของกำไรเติบโตได้ 14.13%
รายได้ไตรมาสที่หนึ่งของปี 2020 ที่จบเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเติบโต 7.1% ทำได้ $28,300 ล้าน
แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในช่วงโควิด-19 ทำให้กำไรสุทธิลดลง 10.7% อยู่ที่ $2,250 ล้าน
อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตต่อสาขาเดิมยังเพิ่มขึ้นได้ 7.5%
ยอดขายออนไลน์เติบโตถึง 80% ลูกค้าที่สั่งของออนไลน์แล้วมารับที่ร้านค้ามีมากถึง 60% ตรงตามเป้าหมายของบริษัทที่จะผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
ธุรกิจสามารถต่อกรกับ E-Commerce ได้เป็นอย่างดีเนื่องจากพฤติกรรมของคนที่ซื้อของแต่งบ้านยังคงอยากเห็นสินค้าก่อน
นอกจากนี้น้ำหนักของสินค้าก็ไม่ได้สร้างความได้เปรียบให้กับการค้าออนไลน์ และความเชี่ยวชาญในสินค้าที่ทำให้ลูกค้ายังคงเชื่อมั่นใน HD มากกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งเบอร์สองอย่าง Lowe’s
HD ดูดีกว่าไม่เฉพาะจำนวนสาขาและยอดขายที่มากกว่า แต่ยังบริหารต้นทุนได้ดีกว่าด้วย
HD มีอัตรากำไรสุทธิที่ 10.20% ในขณะที่ Lowe’s อยู่ที่ 5.92% เท่านั้น
อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเพื่อดำเนินงาน (Return on invested capital) ของ HD ในไตรมาสล่าสุดสูงถึง 26.12% ในขณะที่ของ Lowe’s อยู่ที่ 19.18% แสดงว่า HD ใช้เงินทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า
ผมมองว่าบริษัทยังน่าจะเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่องทั้งการขยายสาขาและการขายออนไลน์ ธุรกิจมีความแข็งแกร่งทั้งสินค้าและบริการ และการบริหารต้นทุนให้แข่งขันได้อย่างดีครับ #หุ้นอเมริกา #Homedepot
บทความนี้มาจากเพจ BILLIONAIRE VI
บทความห้ามพลาด
ทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ถึงไม่ช้อนซื้อหุ้นมากนักในวิกฤตครั้งนี้?
รีวิว (ละเอียด) หุ้น UHS หนึ่งในเครือโรงพยาบาลใหญ่สุดในอเมริกา