รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

หุ้น Amazon จะขึ้นไปได้อีกไกลแค่ไหน?

โดยInvesting.com
ผู้เขียนHaris Anwar
เผยแพร่ 05/06/2563 17:51
อัพเดท 02/09/2563 13:05

เป็นบริษัทที่ไม่เคยทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวังเลยจริงๆ สำหรับบริษัท Amazon.com (NASDAQ:AMZN) ที่ยังคงสามารถทำผลงานขาขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์อย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมหุ้นแอมะซอนสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $2,525 ได้สำเร็จจากยอดขายออนไลน์ท่วมท้นที่ได้มาท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

ความจริงที่ไม่น่าเชื่ออีกประการหนึ่งก็คือตลอด 5 ปีที่ผ่านมาหุ้นแอมะซอนปันผลคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นไปแล้วประมาณ 500% ทำผลงานได้ดีกว่าดัชนี S&P 500 เสียอีก AMZN Weekly 2017-2020

ล่าสุดเมื่อวานนี้หุ้นแอมะซอนมีราคาปิดอยู่ที่ $2,460 ตลอดทั้งปี 2020 ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 35% ในขณะที่ขาขึ้นยังคงดำเนินต่อไป นักลงทุนบางกลุ่มก็เริ่มมองไปที่อนาคตแล้วว่า 5 ปีต่อจากนี้แอมะซอนจะยังคงรักษาบัลลังก์ราชาแห่ง e-commerce และสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อยู่หรือไม่? ตอนนี้ใช่ช่วงเวลาที่ดีสำหรับการซื้อหุ้นแอมะซอนหรือเปล่า?

คำตอบสำหรับสองคำถามนี้ถือเป็นคำถามที่กว้างมากและไม่มีใครสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า 5 ปีต่อจากนี้โลกแห่งธุรกิจ e-commerce จะเป็นเช่นไร จะมีคู่แข่งคนใหม่ๆ ขึ้นมาท้าชิงตำแหน่งจอมราชันย์หรือไม่และที่สำคัญที่สุดคือโมเดลธุรกิจของแอมะซอนในตอนนั้นจะเป็นเช่นไร

กลยุทธ์ของราชา e-commerce

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือโมเดลการทำธุรกิจของแอมะซอนอยู่ในจุดที่สมบูรณ์แบบมากสำหรับการขยายอาณาจักร e-commerce ในยุคที่การซื้อของออนไลน์กลายเป็นทักษะพื้นฐานของมนุษย์ จุดแข็งที่สุดอย่างหนึ่งของแอมะซอนคือระบบการเป็นสมาชิกแบบชำระเงินที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ผลประโยชน์ที่สมาชิกจะได้รับจากการชำระค่าสมาชิกรายปีหรือที่เรียกว่า “Amazon Prime” คือสมาชิกสามารถได้รับของที่สั่งอย่างรวดเร็วและพวกเขายังสามารถรับชมภาพยนตร์ รายการทีวีโชว์ และฟังเพลงได้ฟรี รายการโทรทัศน์หรือภาพยนตร์เหล่านี้มีส่วนช่วยให้การตัดสินใจของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าสักชิ้นง่ายขึ้นนอกเหนือจากการใช้แอมะซอนเพื่อสั่งซื้อหนังสือเท่านั้น ทุกวันนี้สมาชิก Amazon Prime มีมากถึง 150 ล้านคน

แม้ตลาดซื้อขายของออนไลน์คือธุรกิจที่ทำกำไรให้กับแอมะซอนเป็นอย่างมากแต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำกำไรให้กับแอมะซอนได้มากที่สุดอยู่ดีเพราะแอมะซอนยังขึ้นชื่อในเรื่องการให้บริการเปิดพื้นที่ค้าขายของออนไลน์บนระบบคลาวด์ภายใต้ชื่อว่า “Amazon Web Service (AWS)” AWS สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลให้กับบริษัทจนแอมะซอนมีเงินมากพอในการนำไปลงทุนกับการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดเช่น การออกโปรโมชันแรงๆ หรือกำหนดช่วงเวลาให้ผู้ใช้งานสามารถซื้ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ราคาถูกได้

และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแอมะซอนมีความได้เปรียบเหนือแบรนด์อื่นๆ CEO ของบริษัทนายเจฟฟ์ เบซอสได้มีนโยบายเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการที่มีวงเงินในการทำธุรกิจไม่สูงมากสามารถเข้ามาเปิดร้านขายของหรือฝากโฆษณาบนแพลตฟอร์มของแอมะซอนได้ กำไรจากส่วนนี้สร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาล

เมื่อหลังบ้านของแอมะซอนแข็งแกร่งจนวางใจได้ แอมะซอนจึงสามารถเดินเกมรุกขยายอาณาจักรเข้าไปแข่งขันในอุตสาหกรรมอื่นที่แต่เดิมไม่ใช่ที่ของแอมะซอน ที่สำคัญสามารถยืนระยะได้นานอย่างน่าประหลาดใจอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นวงการภาพยนตร์ที่แอมะซอนไม่ได้มาเฉพาะการเข้าไปซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์อย่างที่บริษัทใหญ่ๆ อย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) หรือ HBO (NYSE:T) ทำแต่แอมะซอนใช้อุปกรณ์อย่างเช่นลำโพงหรือแก็ตเจ็ตต่างๆ ที่เรียกรวมๆ ว่า “Amazon Studios” ในการเพิ่มบรรยากาศและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่รับชมภาพยนตร์หรือรายการของแอมะซอน

ในธุรกิจการซื้อค้าปลีกแอมะซอนก็ไม่น้อยหน้าเมื่อแอมะซอนพยายามที่จะเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนในการเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อด้วยการควบรวมกับบริษัท Whole Foods Market ในปี 2017 จะกลายเป็นร้าน “Amazon Go” ที่มีคอนเซ็ปว่าผู้บริโภคสามารถเดินเข้าไปหยิบของและเดินออกมาได้เลย (Grab & Go)

นักวิเคราะห์จาก Barclays เขียนในโน๊ตล่าสุดของเขาว่า “การถือหุ้นแอมะซอนยังถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดอยู่แม้ว่าหุ้นแอมะซอนจะทำผลงานได้ดีมาตลอดในปี 2020 คุณอาจจะคิดว่าตอนนี้มีคนซื้อหุ้นแอมะซอนเยอะแล้ว แต่การถือหุ้นของบริษัทที่มีโอกาสสร้างสิ่งแปลกใหม่ขึ้นมาบนโลกได้อีกอย่างแอมะซอนถือเป็นอะไรที่คุ้มค่า”

โลกของธุรกิจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ไม่มีการลงทุนไหนที่ไม่มีความเสี่ยง นี่คือความสัจธรรมในโลกแห่งการลงทุนและแอมะซอนก็หนีไม่พ้นความจริงข้อนี้ แม้ว่าแอมะซอนจะเข้าไปแข่งขันในตลาดไหนก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้อย่างรวดเร็วแต่แอมะซอนเองก็มีคู่แข่งที่น่ากลัวซึ่งแต่ละบริษัทที่แข่งขันกับแอมะซอนส่วนใหญ่รู้วิธีการปรับตัวในโลก e-commerce และสามารถแข่งขันกับแอมะซอนได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

ถ้าพูดถึงวงการขายปลีกย่อมต้องมีคนพูดถึง 2 ยักษ์ใหญ่อย่างวอลมาร์ท (NYSE:WMT) และทาร์เก็ต (NYSE:TGT) ที่ผ่านมาทั้งคู่มีอัตราการเติบโตด้วย e-commerce อย่างแข็งแกร่ง สามารถคิดเป็นเปอร์เซนต์การเติบโตในแต่ละปีมากถึง 30-40% ในแง่ของจำนวนสาขาวอลมาร์ทก็มีเยอะไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าแอมะซอนเลยและยังมีบริการส่งของถึงมือลูกค้าภายในวันเดียวเช่นกันอีกด้วย

หากมองไปที่ระบบคลาวด์แอมะซอนก็ต้องท้าชนกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่างไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) ตอนนี้ไมโครซอฟท์มีผลิตภัณฑ์ที่ทำงานบนระบบคลาวด์อย่าง “Azure” ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อ้างอิงข้อมูลจาก Canalys ที่เก็บข้อมูลระหว่างช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2018 และปี 2019 พบว่าส่วนแบ่งทางการตลาดจาก Azure เพิ่มขึ้นจาก 14.9% เป็น 17.6% ในขณะที่ AWS ของแอมะซอนลดลงจาก 33.4% เหลือ 32.4%

ไตรมาสล่าสุดของปี 2020 พบว่าตัวเลขกำไรต่อปีของ Azure เพิ่มขึ้น 62% ในขณะที่ AWS มีกำไรเพิ่มขึ้นเพียง 34% เท่านั้น นอกจากนี้แอมะซอนยังพลาดการเซ็นสัญญากับกับบริษัท JEDI ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำระบบคลาวด์ ที่น่าเจ็บใจคือบริษัทดังกล่าวหันไปเข้ากับไมโครซอฟท์ซึ่งแอมะซอนเชื่อว่าการลงทุน $10,000 ล้านเหรียญกับบริษัท JEDI จะสร้างความคุ้มค่าไปอีก 10 ปีข้างหน้า

ถึงกระนั้นจากผลสำรวจเผยว่าจากนักวิเคราะห์ 47 คนมี 43 คนที่บอกให้ “ซื้อ” หุ้นแอมะซอนส่วนอีก 4 คนที่เหลือแนะนำให้ถือเอาไว้เพราะหุ้นแอมะซอนจะสามารถขึ้นถึง $2,675.96 ได้ภายในอีก 12 เดือนข้างหน้า

โดยสรุปแล้ว

ความจริงก็คือใครๆ ก็สามารถพูดได้ทั้งนั้นว่าหุ้นแอมะซอนจะสามารถขึ้นไปได้ถึงระดับไหนและก็เป็นความจริงอีกเช่นกันที่คู่แข่งในอุตสาหกรรมต่างๆ นั้นไม่ง่ายที่แอมะซอนจะสามารถได้ตลาดนั้นมาครอบครองอย่างเบ็ดเสร็จ อย่างไรก็ตามจากความเห็นของนักวิเคราะห์ทั้ง 47 คนอย่างน้อยก็สามารถบอกได้อย่างหนึ่งว่าหุ้นแอมะซอนคือตัวเลือกในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและยังสามารถยืนอยู่ในขาขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย