-เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (BK:MAJOR) รายงานผลการดำเนินงานใน 1Q20ออกมาขาดทุน 255 ล้านบาท มากกว่าที่เราคาดเล็กน้อยเนื่องจากมาตรฐานบัญชีใหม่
- คาดโรงหนังกลับมาเปิดให้บริการได้ช่วงกลางเดือน มิ.ย.เป็นต้นไป
- 2Q20จะยังคงขาดทุนต่อไปจากต้นทุนค่าเสื่อมและค่าพนักงาน
-คงคำแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ที่ราคาเป้าหมาย 16 บาท โดยจุดเข้าซื้อควรอยู่บริเวณ 11-13 บาท เช่นเดิม
ขาดทุนรุนแรง
MAJOR รายงานรายได้ช่วง 1Q20 ที่ 1.3 พันล้านบาท (-45%YoY) ต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี จากผลกระทบของไวรัส COVID-19 หน้าหนังที่อ่อนแอ รวมไปถึงการปิดโรงหนังตั้งแต่วันที่ 18 มี.คในขณะที่ต้นทุนของบริษัทยังไม่สามารถปรับตัวได้มากนักทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 20.6%ลดลงในทุกกลุ่มธรุกิจโดยเฉพาะในธุรกิจโรงหนัง ส่งผลให้บริษัทขาดทุน 255 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีการปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS9, TFRS16, และTAS40) ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 21 ล้านบาท
2Q20 จะยังขาดทุนต่อไป
2Q20นั้นจะยังคงเป็นไตรมาสที่ขาดทุนต่อเนื่องของบริษัทและมีโอกาสขาดทุนมากกว่าไตรมาสแรกเนื่องจากการปิดโรงหนังราว 2.5 เดือน ทำให้ไม่มีรายได้ แต่บริษัทยังมีต้นทุนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ราว 300 ล้านบาทและต้นทุนอื่นๆ (เช่นค่าพนักงาน ค่าสาธารณูประโภค) อีกราว 150 ล้านบาทต่อไตรมาส
มาตการหลังการเปิดโรงหนัง คาดไม่กระทบต่อรายได้มากนัก
ถึงแม้ว่าโรงหนังจะมีโอกาสกลับมาเปิดให้บริการได้ในช่วงกลางเดือน มิ.ย. เป็นต้นไปแต่บริษัทยังคงต้องมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสCOVID-19 ต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เช่น Social Distancing โดยจะมีการเว้นระยะห่างระหว่างที่นั่ง ซึ่งคาดว่าจะทำให้โรงหนังมีที่นั่งเหลือเพียงโรงละ 50 ที่ จาก200 ที่ ซึ่งเรามองว่ามาตรการดังกล่าวอาจจะมีผลกระทบกับหนังใหญ่ระดับ Hollywood เท่านั้น
แต่จะไม่กระทบกับหนังระดับกลาง เนื่องจากโดยปกติแล้ว โรงหนังจะมีอัตราการใช้ที่นั่งหรือ Occupancy rate เฉลี่ย 20-25% ทำให้เราเชื่อว่าจะไม่ส่งต่อผลการดำเนินงานของบริษัทมากนัก รอ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ที่ราคาเป้าหมาย 16 บาท ถึงแม้ว่าโรงหนังจะมีโอกาสกลับมาเปิดได้ในช่วงกลางเดือน มิ.ย.เป็นต้นไปก็ตาม แต่เรายังคงต้องติดตามด้านรอบการฉายหนังจากทางค่ายหนังอีกครั้งว่าจะมีการนำหนังระดับ A เข้ามาฉายช่วงใด รวมไปถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อโรงหนังในช่วงที่ไวรัสCOVID-19 ยังคงมีการแพร่ระบาดในประเทศทำให้แนวโน้มในอนาคตของบริษัทนั้นยังไม่ชัดเจนเราจึงยังแนะนำเพียงรอ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ที่ราคาเป้าหมาย 16บาท โดยแนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะเข้าลงทุนในช่วงราคา 11-13 บาท เช่นเดิมความเสี่ยง การอุปโภคบริโภคภายในประเทศในระดับต่ำ
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities