ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วสามารถปรับตัวขึ้นท่ามกลางความหวังของนักลงทุนที่มีต่อการกลับมาเปิดเมืองเพื่อดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ได้โดยเร็วหลังจากที่รัฐบาลเริ่มสามารถควบคุมโรคได้ ความหวังของนักลงทุนในครั้งนี้มีมากกว่าที่จะให้ความสนใจไปยังข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ออกมาแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งหรือแม้กระทั่งรายงานผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ที่ยังไม่รู้ว่าไตรมาสหน้าตัวเลขจะออกมามีหน้าตาเช่นไร
จากข้อมูลรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (NFP) ของเดือนเมษายนเมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคมพบว่ามีคนตกงานไปแล้วมากถึง 20.5 ล้านคน ตามมาด้วยอัตราการว่างงานมีตัวเลขสูงขึ้นอยู่ที่ 14.7% ถือเป็นตัวเลขที่มากที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่สมัยวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 1930
แม้จะอยู่ท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจแต่ดัชนีหลักๆ ของสหรัฐฯ ยังคงสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ NASDAQ กระโดดขึ้น 6% ชดเชยขาลงก่อนหน้านี้ตลอดทั้งปีได้หมดสิ้น Russell 2000 ปรับตัวขึ้น 5.5% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 3.5% ดัชนีหลักๆ ล้วนแล้วแต่สามารถปรับตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคมได้มากกว่า 30% เกินกว่าขาลงที่ร่วงมาเพราะโควิด-19 เมื่อเดือนมีนาคมเป็นที่เรียบร้อย อันที่จริงแล้วเรียกได้ว่าเดือนเมษายนคือเดือนที่ดีที่สุดสำหรับตลาดหุ้นในรอบ 30 ปีเลยทีเดียว
ในสัปดาห์นี้ยังคงมีบริษัทที่จะต้องรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2020 อยู่ซึ่งเราได้เลือกหุ้น 3 ตัวที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้มาให้คุณผู้อ่านได้พิจารณากันเช่นเคย
1. Tesla (NASDAQ:TSLA)
เรียกว่าสร้างกระแสให้กับบริษัทตัวเองได้อยู่ตลอดสำหรับนายอีลอน มัสค์ CEO ของบริษัทเทสลา (NASDAQ:TSLA) ที่ช่วงระยะหลังมีการใช้สื่อทวิตเตอร์ปล่อยข่าวมากขึ้น จนนักลงทุนไม่รู้ว่าควรลงทุนไปในทิศทางไหนดี
ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอีลอน มัสค์ได้โพสต์ข้อความลงบนสื่ออินเตอร์เน็ตวิจารณ์มาตรการของรัฐแคลิฟอร์เนียเกี่ยวกับการปิดล็อคเมืองซึ่งส่งผลกระทบต่อการปิดโรงงานเทสลาของเขาด้วย ในข้อความเขาระบุว่าเทสลากำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อจะยื่นฟ้องและจะหาทางย้ายฐานการผลิตจากรัฐแคลิฟอร์เนียไปยังสถานที่อื่น ไมใช่เฉพาะกับเทสล่าเท่านั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา Palo Alto บริษัทชั้นนำทางด้าน Cyber Security ของอเมริกาก็ได้ออกมาพูดในทำนองเดียวกันว่า “การปิดล็อคเมืองเช่นนี้มีแต่จะทำให้เศรษฐกิจของชาติยิ่งเสียหายและนำไปสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจในที่สุด”
อย่างไรก็ตามอีลอน มัสค์ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “เขาจะตัดสินใจย้ายโรงงานหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐแคลิฟอร์เนียจะปฏิบัติกับบริษัทของเขาอย่างไรต่อ” ล่าสุดหุ้นเทสลาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีราคาปิดอยู่ที่ $819.42 ปรับตัวขึ้นมามากกว่า 95% เพราะนักลงทุนยังให้ความเชื่อมั่นว่ายอดขายและกำลังการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าว่าจะยังสามารถดำเนินการต่อไปได้แม้ว่าการสั่งปิดโรงงานจะกระทบเป้าหมายยอดขายรถของบริษัท เทสลาคาดการณ์เอาไว้ว่ากำลังการผลิตรถยนต์ของบริษัทในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 36%
2. Duke Energy
บริษัท Duke Energy (NYSE:DUK) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์โดยเฉลี่ยว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจะอยู่ที่ $1.19 และกำไรรวมของบริษัทจะมีตัวเลขออกมาอยู่ที่ $6,340 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นของดุ๊กปรับตัวลดลงมาประมาณ 10% แต่เมื่อวันศุกร์หุ้นบริษัทปรับตัวขึ้นมา 1.83% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $81.78 หุ้นที่อยู่ในกลุ่มสาธารณูปโภคจะมีพฤติกรรมการวิ่งของราคาที่เสถียรกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ในยามวิกฤตเพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมนุษย์จะยังมีความต้องการพลังงานเชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทในกลุ่มนี้ยังให้เงินปันผลที่ดีกว่าแก่นักลงทุนในช่วงนี้
ปัจจุบันหุ้นของดุ๊กจ่ายเงินปันผลให้แต่ละไตรมาสอยู่ที่ $0.945 คิดเป็น 4.62% ต่อปี บริษัทมีแผนที่พัฒนาธุรกิจอีก $37,000 ล้านเหรียญสหรัฐไปจนถึงปี 2022 ในอนาคตดุ๊กมีแผนที่จะเพิ่มเปอร์เซนต์การปันผลต่อไปให้สามารถขึ้นไปที่ 6% และจะรักษาตัวเลขนี้เอาไว้ไม่ให้หล่นลงไปต่ำกว่า 4%
3. Cisco Systems
บริษัทซิสโก (NASDAQ:CSCO) จะรายงานปีงบประมาณไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ในวันพุธที่ 13 พฤษภาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์โดยเฉลี่ยว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจะอยู่ที่ $0.71 และกำไรรวมของบริษัทจะมีตัวเลขออกมาอยู่ที่ $11,910 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
ภายใต้การบริหารของ CEO ชักค์ โรบินส์ บริษัทซิสโกได้พัฒนาธุรกิจในภาคส่วนของการบริการและการทำซอฟท์แวร์ขึ้นมาเป็นอย่างมาก เมื่อปี 2019 บริษัทได้เข้าซื้อกิจการของ Voicea ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการทำซอฟท์แวร์ที่นำเสียงมาพัฒนาต่อยอดทางเทคโนโลยีได้ ในเดือนมิถุนายนปี 2019 เช่นกันซิสโกก็ได้เทคโอเวอร์บริษัท Acacia Communications (NASDAQ:ACIA) ด้วยเงินประมาณ $260 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ชิปคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีที่สามารถแปลงข้อมูลจากดวงตามนุษย์ให้กลายเป็นข้อมูลดิจิทัล
การขยายอาณาจักรและความสามารถของซิสโกประกอบกับที่บริษัทยังคงมีชื่อเสียงอยู่ในวงการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีของสหรัฐฯ จะสามารถช่วยซิลโกมีตัวเลขผลประกอบการที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นซิสโกมีราคาปิดอยู่ที่ $42.99 ปรับตัวลดลงมา 10% ตลอดทั้งปี 2020