เมื่อ SET กำลังเข้าสู่จุดตัดเทคนิคที่สำคัญ หลังจากแนวรับระยะสั้นกับแนวต้านระยะกลางกำลังจะมาบรรจบกัน
Sell In May คือสถิติการซื้อขายราคาหุ้นตามฤดู (Season) หรือเดือนที่สำคัญอีกหลักนึงที่ไม่แพ้ January Effect ครับ
โดยหากย้อนสถิติกลับไปในตลาดหุ้นสหรัฐนั้นในเดือน พ.ค. (May) นั้นจะโดนเทขายอยู่ค่อนข้างบ่อยทีเดียว (Sell in May = ขายในพ.ค.) ทำให้มีมูลความจริงในเชิงสถิติอยู่ประมาณนึง
เพราะว่าส่วนมากช่วง 4 เดือนแรกของปีนั้นเป็นช่วงที่นักลงทุนรอผลประกอบการไตรมาส 1 กับการรับเงินปันผล ทำให้ข่าวดีต่างๆที่ตลาดรออยู่อาจจะถูกปลดปล่อยออกมาหมดแล้ว จึงเกิดเหตุการณ์ “Sell on Fact” ขึ้นได้เป็นการเก็บทำกำไรของหุ้นที่วิ่งขึ้นใน 4 เดือนแรกของปี และกว่าจะมีการเล่นข่าวรอบใหม่ๆก็จะเป็นช่วงเดือนกันยายนอีกครั้ง
ทางตลาดหุ้นสหรัฐในปีนี้นั้นอาจจะเกิด Sell in May ได้จริงๆ
หลังจากดัชนี Dow Jones และ S&P 500 นั้นได้โดนเทขายไปกว่า -4% แล้วตั้งแต่เปิดเดือนมา โดยทางเทคนิคนั้นดัชนีหุ้นสหรัฐทั้งคู่นั้นได้เด้งจากจุดต่ำสุดของปีขึ้นมา 61.8% พอดีหรือเข้าหลักการ Retracement ของ Fibonanci เป๊ะๆ (รูปแนบในคอมเม้นท์) ทำให้อาจเกิดแรงเทขายทางเทคนิคเดือนนี้ ประกอบกับเรื่องความตึงเครียดที่รัฐบาลสหรัฐจะขึ้นภาษีการค้ากับจีนอีกรอบนั้นอาจจะกดดันตลาดได้ทั้งเดือนเช่นกัน
ทางด้านตลาดหุ้นไทยนั้น จะเป็นอย่างไร ?
ส่วนตัวไม่ได้ติดตามตลาดนี้อย่างใกล้ชิดนะครับ แต่เห็นว่ากำลังเข้าจุดตัดสำคัญจึงเขียนมาแชร์มุมมองที่อาจพอเป็นประโยชน์ โดยหากดูสถิติย้อนหลังไป 10 ปีล่าสุด ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET ในเดือนพฤษภาคมนั้นจะปรับลดลงถึง 7 ปี จาก 10 ปี ทำให้ปีนี้ก็อาจมีโอกาสปรับตัวลดลงได้เช่นกัน
โดยหากดูจากจุดเส้นตัดระหว่างแนวรับระยะสั้นกับแนวต้านระยะกลางที่กำลังจะมาบรรจบกันในเดือนนี้ (เส้นสีแดง) ทำให้เชื่อว่าตลาดกำลังจะเปลี่ยนทิศทางในระยะสั้นอีกครั้ง (ต้องมีเส้นใดเส้นหนึ่งที่หลุด)
อีกสิ่งที่ควรคำนึงไว้ในใจคือตลาดหุ้นของไทยนั้นก็มี Gap อยู่หลายจุดทั้งบนและล่าง ทำให้หากตลาดเปลี่ยนทิศนั้นราคาอาจจะวิ่งได้แรงจนกว่า Gap เหล่านั้นจะถึงเป้า หากตลาดโดนเทขายในช่วงเปิดอาทิตย์นี้ตามดัชนีหลักๆทั่วโลก มีความเป็นไปได้ที่ Sell in May จะทำให้ดัชนี SET ลงไปปิด Gap ที่ 1,160 จุด
แต่ถ้าตลาดยังคงยืนอยู่เหนือแนวรับระยะสั้นที่ลากเป็นเส้นสีแดงให้ดูได้นั้น เชื่อว่าตลาดอาจจะเทรนด์ต่อเนื่องขึ้นไปปิด Gap บนที่ 1,350-1,400 จุดได้เช่นเดียวกัน และหากเป็นจริงและดัชนี SET สามารถยืนเหนือแนวต้านระยะกลางได้นั้น เราอาจจะไม่เห็น Gap ที่ 1,160 จุดโดนปิดอีกแล้วในปีนี้ และตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่านจุดที่ต่ำที่สุดของปีไปแล้วทางเทคนิค
ที่กล่าวมานั้นเป็นมุมมองทางเทคนิค แต่ถ้าตาม ปัจจัยพื้นฐาน นั้น
เราคงต้องจับตาดูว่ามาตรการผ่อนคลายในการเปิดพื้นที่ต่างๆเป็นอย่างไรบ้าง ? ตัวเลขผู้ติดเชื้อในไทยจะมีการดีดขึ้นไหม ? การกลับมาเปิดธุรกิจต่างๆมากขึ้นจะยังมีความต้องการใช้จากประชาชนที่สูงไหม ? หรือทุกฝ่ายจะกลัวเรื่องการติดไวรัสจนการจับจ่ายยังไม่กระเตื้อง ? และแน่ๆนอนคือผลประกอบการของบริษัทต่างๆที่กำลังจะประกาศออกมา
ขอย้ำอีกครั้งว่านี่คือความเห็นส่วนตัว ของผู้ที่ไม่ได้ดูตลาดนี้เป็นหลักนะครับ ไม่ได้มีเจตนาชี้นำในการลงทุนแต่อย่างใด แต่อย่างจะแชร์ข้อมูลสำคัญบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์
บทวิเคราะห์นี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP