แรงขาขึ้นของหุ้นเทสลา (NASDAQ:TSLA) ล่าสุดเกิดขึ้นจากรายงานผลประกอบการยอดขายของบริษัทที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ซึ่งก่อนหน้านี้หลายๆ สำนักมองว่าตัวเลขผลกำไรของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาที่กระทบสานพานการผลิตในประเทศจีน
รายงานผลประกอบการที่บริษัทเปิดเผยข้อมูลออกมาในวันพฤหัสบดีที่แล้วพบว่าในไตรมาสที่ 1 บริษัทเทสลาสามารถสร้างจำนวนรถไฟฟ้าที่ขายไปได้ทั่วโลกมากถึง 88,400 คัน แม้จะเป็นตัวเลขที่ลดลง 21% แต่ก็ยังถือว่ามากกว่าตัวเลขค่าเฉลี่ยของจำนวนรถที่ขายได้ซึ่งนักวิเคราะห์มองเอาไว้ที่ประมาณ 78,100 คัน
ในช่วง 3 ไตรมาสล่าสุดหุ้นของบริษัทเทสลาปรับตัวสูงขึ้นในทุกๆ ไตรมาสคิดเป็นไตรมาสละ 15% กราฟมีราคาปิดเมื่อวานล่าสุดอยู่ที่ $545.45 การปรับตัวขึ้นของหุ้นเทสลาส่งผลให้บริษัทถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดีและมีโอกาสปันผลกำไรกลับมาแม้ว่าต้องอยู่ท่ามกลางวิกฤตไวรัสโคโรนาและเศรษฐกิจที่มีโอกาสถดถอย เมื่อเทียบกับดัชนีหลักๆ อย่าง S&P 500 ที่ปรับตัวลดลง 17% พบว่าหุ้นเทสลาปรับตัวสูงขึ้นมาแล้ว 23% ในปีนี้
นักวิเคราะห์จาก Cowen นายเจฟฟรี่ ออสบอร์นได้ยกหุ้นเทสลาขึ้นเป็นหุ้นที่จัดอยู่ในกลุ่ม “น่าซื้อ” หลังจากทราบตัวเลขรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 พร้อมยังบอกอีกด้วยว่า “ด้วยตัวเลขผลกำไรที่ดีและสภาพคล่องทางการเงินที่บริษัทมีจะยิ่งทำให้เทสลามีประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าออกมาดียิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ตามยังมีนักวิเคราะห์บางส่วนที่มองว่าตัวเลขผลประกอบการนี้ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากโควิด-19 ในระยะยาวและนักลงทุนควรจะระมัดระวังเอาไว้เป็นอย่างมาก นายเจฟฟรี่เองก็ยอมรับว่าตัวเลขปริมาณสัดส่วนผลผลิตจริงเมื่อเทียบกับตัวเลขกำลังการผลิตสูงสุดถือว่าอยู่ในระดับต่ำ
“สภาพคล่องที่ดีของเทสลาในไตรมาสแรกยังดูไม่แย่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับความวิตกที่เรามีซึ่งเราเชื่อว่าในไตรมาสที่ 2 จะเริ่มได้เห็นตัวเลขที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพิ่มขึ้น ถึงกระนั้นเราเชื่อว่าจะได้เห็นการฟื้นตัวของบริษัทแบบ U-shape ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020” นายออสบอร์นกล่าวปิดท้าย
ปริมาณความต้องการรถไฟฟ้าที่ลดลง
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หุ้นเทสลายังเป็นกระแสและได้รับความสนใจอยู่นั้นมาจากการให้คำมั่นสัญญาของ CEO นายอีลอน มันสค์เมื่อปีที่แล้วว่าในปี 2020 เขาจะทำตัวเลขยอดขายให้ดียิ่งขึ้นไปอีกหลังจากที่ในไตรมาสที่ 4 ปี 2019 บริษัทจะประสบความสำเร็จกับการขายรถไฟฟ้าโมเดลใหม่ “New Y Crossover”
ลำพังแค่คำพูดคงจะไม่มีประโยชน์หากว่านักลงทุนไม่ได้เห็นกับตาเพราะยอดขายที่มาจากโรงงานเทสลาในกรุงเซี่ยงไฮ้สามารถเอาชนะตัวเลขยอดขายที่ตั้งไว้ที่ 360,000 คันได้ในปีที่แล้วและยังส่งผลให้เทสลากลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ถูกจับตาในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทั่วไปในทันที
แต่ปัจจัยเชิงบวกเหล่านั้นในตอนนี้ก็หนีไม่พ้นความกดดันจากปัจจัยภายนอกที่กระทบไปทุกวงการอย่างไวรัสโคโรนาพ้น นอกจากจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศจีนแล้วยังกระทบต่อสายพานการผลิตและเพิ่มความเสี่ยงให้บริษัทมุ่งหน้าเข้าสู่สภาวะถดถอย ตัวเลขการขนส่งรถไฟฟ้าไปขายในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกอาจลดลงมากกว่า 12% จากปีที่แล้วที่ทำยอดขายได้ 78.8 ล้านเหรียญสหรัฐ นักวิเคราะห์จากสำนักข่าวบลูมเบิร์กมองว่าจากตัวเลขยอดขาย 78.8 ล้านเหรียญในปีที่แล้วอาจหายไปมากถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถึงบริษัทจะรายงานผลประกอบการไปแล้วแต่ทางเทสลากลับไม่ถึงข้อมูลหรือให้ข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับเป้าหมายยอดขาย 500,000 คันตลอดทั้งปี 2020 เลยและยังไม่พูดถึงมีจำนวนรถอยู่กี่คันที่กำลังผลิตอยู่ในโรงงาน ณ กรุงเซี่ยงไฮ้ในเวลานี้
นักวิเคราะห์จาก Needham เชื่อว่าสำหรับหุ้นเทสลาในตอนนี้ยังควรอยู่ในจุดที่จับตามองดูอย่างใกล้ชิดมากกว่าเพราะตอนนี้มีรายงานว่าปริมาณความต้องการรถไฟฟ้าของเทสลาลดลงในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ “ในระยะยาวเราเชื่อว่าบริษัทจะได้รับแรงกดดันจากยอดขายรถในรุ่น S&X ปละ Model 3 ที่ลดลง นี่ยังไม่นับว่าจะโดนแรงกดดันจากยอดขายของรถยนต์ทั่วไปเข้ามากระทบอีกด้วย”
โดยสรุปแล้ว…
เทสลาตอนนี้ถือได้ว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ท้าทายเป็นอย่างมากเพราะนอกจากตัวเลขสัดส่วนระหว่างปริมาณผลผลิตจริงกับตัวเลขกำลังการผลิตสูงสุดและกำลังการขนส่งสินค้าที่อยู่ในระดับต่ำแล้ว บริษัทยังต้องเจอปัญหาเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาที่มากระทบกับสานพานการผลิตอีก ข้อมูลตัวเลขของบริษัทที่จะออกมาในวันที่ 29 เมษายนนี้อาจจะทำให้นักลงทุนได้เห็นข้อมูลที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น