พายุมรสุมกำลังก่อตัวขึ้นรอบๆ บริษัท Zoom Video Communications (NASDAQ:ZM) หลังจากที่บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในปีนี้ หุ้นของบริษัทกำลังปรับตัวลดลงเพราะผู้บริโภคกำลังเป็นกังวลเรื่องของความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวซึ่งทางภาครัฐของประเทศที่พัฒนาแล้วกำลังเริ่มเข้ามาตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว
สาเหตุที่ซูมกลายเป็นที่พูดถึงของสังคมและกำลังเป็นที่จับตามองของภารรัฐก็เพราะอัตราการเติบโตและการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงวิกฤตไวรัสโคโรนาที่ทำให้ประชาชนต้องทำงานอยู่แต่ในบ้าน เด็กๆ ก็ต้องเรียนจากการประชุมทางไกล เฉพาะเดือนมีนาคมที่ผ่านมาซูมเปิดเผยข้อมูลการใช้งานของบริษัทว่าผู้ใช้งานแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมซูมในแต่ละวันเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ล้านคนจากเดินที่เคยทำจุดสูงสุดของยอดผู้ใช้งานไว้แค่ 10 ล้านคน
แต่ยิ่งซูมได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคนเห็นจุดอ่อนและข้อตำหนิของแพลตฟอร์มเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นจน FBI ของสหรัฐฯ ต้องออกมาเตือนประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานแอปพลิเคชันซูมโดยบอกว่าผู้ใช้งานไม่ควรตั้งค่าห้องประชุมให้กลายเป็นห้องสาธารณะหรือแชร์ลิงก์กันอย่างแพร่หลายเพราะ FBI ได้รับรายงานมา 2 เคสเกี่ยวกับผู้ใช้งานนิรนามที่สามารถบุกเข้าไปถึงห้องเรียนในขณะที่กำลังประชุมสายกันอยู่ได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจนมีการตั้งชื่อให้กับการกระทำนี้ว่า “Zoom-bombing”
ไม่กี่วันหลังจากข่าว zoom-bombing มีรายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ว่านายอีลอน มัสค์ CEO บริษัทผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเทสลาห้ามพนักงานในบริษัท SpaceX ใช้แอปพลิเคชัน Zoom ในการทำงานโดยเด็ดขาดโดยให้เหตุผลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าบริษัทซูมโดนฟ้องจากผู้ใช้งานที่อ้างว่าทางบริษัทมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากการทำวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อ้างอิงข้อมูลจากศาลในรัฐแคลิฟอร์เนียรายงานว่าบริษัทจะเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานหลังจากที่ผู้ใช้ทำการติดตั้งโปรแกรมหรือแอปฯ ลงในอุปกรณ์ของตนและมีการแชร์การใช้งานโดยไม่มีการบอกกล่าวผ่านเฟสบุ๊ก (NASDAQ:FB) หรือสื่อโซเชียลอื่นๆ และกำลังมีเรื่องดำเนินคดีทางกฏหมายในรัฐอย่างนิวยอร์กด้วยเช่นกัน
การเติบโตของซูมท่ามกลางหมอกร้าย
จากข่าวในเชิงลบที่ได้กล่าวถึงไปทำให้หุ้นของบริษัทซูมร่วงลง 35% จากจุดสูงสุดตลอดกาลของหุ้นที่ $164.94 ในวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา แม้กระทั่งเมื่อวานนี้เองหุ้นของซูมก็ยังปรับตัวลดลงอีก 11% มีราคาปิดอยู่ที่ $121.93 และนำไปสู่คำถามที่ว่าหุ้นของซูมนั้นเหมาะสมหรือไม่กับการลงทุนเป็นหุ้นระยะยาวท่ามกลางปัญหาด้านความปลอดภัยเช่นนี้
ในมุมมองการวิเคราะห์ของเราแล้วมองว่าข่าวเชิงลบเหล่านี้ที่เกิดขึ้นย่อมสร้างความกดดันและทำให้บริษัทต้องรีบแก้ไขปัญหาเหล่านี้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมา เราไม่คิดว่าปัญหาที่ซูมเจอจะกระทบต่อโมเดลการทำธุรกิจของบริษัทเพราะมีบริษัทอีกมากมายที่สามารถเติบโตได้ท่ามกลางมรสุมการฟ้องร้องทางกฎหมาย CEO ของซูมควรเรียนรู้จากมาร์ค ซักเคอร์เบิร์กเอาไว้ให้มากๆ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักวิเคราะห์บางคนยังให้ค่ากับหุ้นของซูมอยู่เพราะระบบการทำวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ของซูมนั้นถือเป็นมาตรฐานใหม่ของการโทรทางไกลผ่านวิดีโอเลยทีเดียว สำนักข่าวบลูมเบิร์กอ้างคำพูดของนักวิเคราะห์นายซานฟอร์ด เบิร์นสตีนที่แนะนำว่าทำไมหุ้นของซูมยังคงน่าซื้ออยู่ว่า “ถึงจะเจอปัญหาด้านความปลอดภัยแต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยอมจ่ายเงิน 7-20 เซนต์ต่อการเป็นสมาชิกเพื่อใช้งานซูมอย่างเป็นส่วนตัวและบางคนยอมจ่ายเป็นรายปีไปเลยด้วยซ้ำ”
ธนาคารสำหรับการลงทุนระดับโลก RBC ปรับระดับเป้าหมายราคาของหุ้นซูมขึ้นจาก $110 เป็น $125 จากข้อมูลตัวเลขยอดดาวน์โหลดแอปฯ ซูม ในขณะที่เมื่อเดือนที่แล้วบริษัทพึ่งออกมาบอกตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการตลอดทั้งปีว่าอาจจะสามารถพุ่งขึ้นไปประมาณ 45% คิดเป็นมูลค่าประมาณ $905-915 ล้านเหรียญสหรัฐได้
นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้บอกว่าพวกเขารับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวแล้ว บริษัทยังได้สัญญาด้วยว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อยภายในสามเดือนข้างหน้า CEO ของซูมนาย อีริก หยวนได้ออกมาเขียนจดหมายถึงผู้ใช้งานของซูมเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า “ตอนนี้เราทราบดีถึงข้อบกพร่องที่แอปพลิเคชันของเรามีเกี่ยวกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เราขอสัญญาว่าจะปรับปรุงการบริการของเราให้ดีขึ้นและจะทำให้ผู้ใช้งานได้เห็นผลของการพัฒนานั้นภายใน 3 เดือน”
โดยสรุปแล้ว…
ขาขึ้นติดเทอร์โบของซูมต้องสะดุดลงเพราะมีข้อผิดพลาดในประเด็นที่สังคมโลกตะวันตกให้ความสำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่งอย่างความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัย เชื่อว่าขาขึ้นของซูมจะยังคงขึ้นต่อไปตราบเท่าที่ไวรัสโคโรนายังคงระบาดอยู่แต่ซูมจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้เร็วแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าซูมแก้ไขปัญหานี้ได้เร็วแค่ไหนด้วย
เชื่อว่าหลังจากที่โลกได้ผ่านพ้นวิกฤตไวรัสโคโรนาไปแล้ว เราจะได้เห็นซูมที่มีการจัดการเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ดีขึ้น