“มองวิกฤตให้เป็นโอกาส” มักเป็นคำที่นักลงทุนหรือนักธุรกิจคนดังชอบพูดอยู่เสมอและเราเชื่อว่าทุกคนก็น่าจะเคยได้ยินคำนี้มาบ่อยกันจนชินแล้ว จากสถานการณ์ปัจจุบันที่โควิด-19 ยังคงพร้อมเล่นงานตลาดลงทุนได้ตลอดก็ยิ่งทำให้ราคาในตลาดหุ้นมีโอกาสจะปรับตัวลดลงมากกว่าที่จะวิ่งขึ้น จากตรงนี้เองทำให้หุ้นหลายๆ ตัวที่นักลงทุนเคยเสียดาย อยากซื้อ อยากเป็นเจ้าของกลายเป็นสิ่งล่อตาล่อใจขึ้นมาทันที นี่คือโอกาสที่เรียกว่า “การพักตัว” ที่รอมาเนินนาน
ไม่มีอะไรผิดหากคุณจะคิดว่าตัวเองฉลาดที่สามารถมองเห็นโอกาสท่ามกลางความตื่นตระหนกได้ เพราะนี่ก็เป็นสิ่งที่บิดาแห่งการลงทุนอย่างวอร์เรน บัฟเฟต พร่ำสอนมาอยู่เสมอ แต่การเลือกหุ้นที่จะซื้อในช่วงนี้นักลงทุนก็ควรทำการบ้านมาเป็นอย่างดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจและในบทความนี้เราได้เลือกหุ้น 2 ตัวที่มองว่ายังไม่ถึงเวลาสำหรับคำว่ามองวิกฤติให้เป็นโอกาส
1. Boeing
ไวรัสโคโรนานับได้ว่าเป็นศัตรูที่แท้จริงกับธุรกิจสายการบิน หุ้นของบริษัทโบอิ้ง (NYSE:BA) ที่นักลงทุนเคยคิดกันเอาไว้ว่าจะเป็นหุ้นที่วิ่งกลับขึ้นมาทำผลงานได้น่าประทับใจในปี 2020 แต่พอโควิด-19 ก้าวเข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
นอกจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหลายๆ อย่างที่ส่งผลกระทบถึงภาคการท่องเที่ยวประกอบกับอนาคตของเครื่องบินรุ่น 737 MAX ที่ยังไม่รู้ว่าจะออกมาในทิศทางไหนจึงทำให้คาดการณ์ได้ยากว่าก้นเหวที่แท้จริงของหุ้นโบอิ้งจะอยู่ที่ใด เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาหุ้นโบอิ่งร่วงลงประมาณ 24% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $124.14 คลื่นผลกระทบของไวรัสโคโรนากลืนความหวังและการปรับตัวขึ้นของหุ้นโบอิ้งตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2016 จนหมดสิ้น
บริษัทโบอิ้งกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอย่างแท้จริง เมื่อสัปดาห์ที่แล้วบริษัทพึ่งประกาศข่าวร้ายให้กับพนักงานทราบว่ามีความจำเป็นที่จะต้องหยุดการจ้างงานชั่วคราวและบางคนจะไม่ได้รับเงินเดือนในขณะที่พักงานด้วย ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ส่งผลต่อธุรกิจการบินไปทั่วทั้งโลก
ก่อนหน้าที่บริษัทจะเจอมรสุมไวรัสโคโรนาพวกเขาก็เผชิญปัญหาจากข่าวเครื่องบินรุ่น 737 MAX ตกและคร่าชีวิตผู้โคยสารและลูกเรือรวม 346 ชีวิตอยู่แล้วจนทำให้องค์กรที่ดูแลเกี่ยวกับการบินต้องสั่งห้ามไม่ให้นำเครื่องบินรุ่นนี้ขึ้นไปบินบนฟ้าอีกจนกว่าจะได้ข้อสรุปซึ่งส่งผลต่ออนาคตและภาพลักษณ์ของบริษัทเป็นอย่างมาก
นักวิเคราะห์จากบริษัทเจพีมอร์แกนที่พึ่งลดระดับหุ้นของโบอิ้งลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคาดว่าหลังจากที่มีการสั่งพักงงานและหยุดจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานแล้ว สิ่งต่อไปที่บริษัทโบอิ้งจะทำคือลดจำนวนเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นตราบเท่าที่สถานการณ์ไวรัสโคโรนายังไม่คลี่คลายและกระทบต่อหุ้นสายการบินต่อไปเรื่อยๆ
2.Tesla
เทสล่า (NASDAQ:TSLA) เคยเป็นหุ้นที่วิ่งได้อย่างโดดเด่นมากที่สุดในปีที่แล้วจนกลายเป็นเจ้าของสถิติหุ้นที่เติบโตมากที่สุด 4 เท่าภายในระยะเวลา 9 เดือนจนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เทสล่าเมื่อปีที่แล้วสามารถสร้างสัญญาณที่ส่งไปถึงรถยนต์ที่ยังใช้น้ำมันได้ว่าอีกไม่นานพวกเขาจะถูกแทนที่ด้วยรถพลังงานไฟฟ้าไม่ช้าก็เร็ว
ในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมาตัวเลขผลประกอบการบริษัทเทสล่าสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ไปได้จนทำให้บริษัทเร่งเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ “Model Y Crossover” ยิ่งไปกว่านั้นตัวเลขยอดขายที่มาจากโรงงานผลิตรถยนต์ในเซี่ยงไฮ้ก็สามารถทำตัวเลขได้อย่างทะลุเป้ามากถึง 360,000 คันจนกลายเป็นที่จับตามองของทั้งคนในและนอกวงการยานยนต์ว่าธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังจะกลายมาเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทกับโลกต่อไปในอนาคต
แต่ฝันดีมักจะอยู่ไม่นาน...และกลายเป็นฝันร้ายได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งไตรมาสเมื่อไวรัสโคโรนาถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกในช่วงกลางเดือนมกราคมจนเรียกได้ว่าจากบริษัทที่ดูมีอนาคตที่สดใสอาจต้องฝึกสะกดคำว่า “ภาวะถดถอย” ในเร็วๆ นี้ ไวรัสโคโรนาส่งผลให้ผู้คนไม่เดินทาง ไม่ต้องการออกไปไหนและนั่นทำให้ปริมาณความต้องการรถไฟฟ้าแห่งอนาคตจำเป็นต้องรอไปก่อน
นาย Toni Sacconaghi นักวิเคราะห์แห่ง Bernstein ให้ความเห็นแก่นักลงทุนของเขาเมื่อวานว่า “หุ้นของบริษัทเทสล่าในตอนนี้ถือว่ายังคงอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง การปรับตัวลงมาครั้งนี้นอกจากจะได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาแล้วยังเป็นการวิ่งกลับลงมายังราคาตามความเป็นจริงอย่างที่ควรจะเป็นอีกด้วย”
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาหุ้นเทสล่าร่วงลงมากกว่า 18% มีราคาปิดปัจจุบันอยู่ที่ $430.20 หากพิจารณาหุ้นเทสล่าเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในตลาดหุ้นที่ร่วงลงเช่นกันพบว่าเทสล่าร่วงลงมาแล้วมากกว่า 50% จากจุดสูงสุดที่ $698.99 ในเดือนกุมภาพันธ์
ปัจจัยเศรษฐกิจหดตัวที่ประเทศจีนคือประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพหุ้นเทสล่าเพราะฐานกำลังการผลิตส่วนใหญ่ของบริษัทล้วนแล้วอยู่ในประเทศจีนทั้งสิ้น นักวิเคราะห์ได้นำข้อมูลจากดัชนีการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของจีนมาประเมินพบว่าข้อมูลนี้ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ลดลง 24.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว และข้อมูลจากดัชนีวัดผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศจีนก็ลดลง 13.5% โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจยานยนต์ที่ร่วงลงไปมากถึง 46% ดังนั้นเป้าหมายที่เทสล่าตั้งไว้ 500,000 คันในปีนี้คงจะกลายเป็นเรื่องยากเกินไปแล้วสำหรับบริษัทเทสล่า
นาย Dan Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities แสดงความเห็นว่า “เพราะปริมาณความต้องการซื้อรถยนต์ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาทั้งในประเทศจีนและยุโรปจึงทำให้เราประเมินว่าแม้แต่ตัวเลขความต้องการผลิตภัณฑ์ของเทสล่าในไตรมาสที่ 1จะขึ้นไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ด้วยซ้ำ”
โดยสรุปแล้ว…
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อบริษัทโบอิ้งและเทสล่า มากไปกว่านั้นดูเหมือนว่านี่ยังไม่ใช่จุดต่ำที่สุดของหุ้นทั้งสองตัวนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่โลกยังไม่อาจประเมินความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากไวรัสโคโรนาได้