ตราบเท่าที่ไวรัสโคโรนายังคงปกคลุมตลาดหุ้นและเศรษฐกิจอยู่เช่นนี้ ตราบนั้นยิ่งเพิ่มโอกาสให้การถดถอยทางเศรษฐกิจเกิดเร็วขึ้น ในช่วงระยะเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นต้องเผิชิญกับมรสุมข่าวร้ายของจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเจอปัญหาการทะเลาะกันระหว่างรัสเซียและซาอุดิอาระเบียที่นำไปสู่การทำสงครามราคาน้ำมันกันอย่างที่เห็นซึ่งกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ของสหรัฐฯโดยตรง ดัชนีหลักของสหรัฐฯ ทั้ง 3 ตัวยืนยันแล้วว่าอยู่ในตลาดขาลงเรียบร้อยด้วยผลงานร่วงลงจากจุดสูงสุดมากกว่า 20%
ตอนนี้ไม่มีใครเชื่อทฤษฏีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ V-shape อีกแล้ว นักวิเคราะห์หลายท่านมองว่ากลับตัวแบบ U-Shape ได้ก็ถือว่าดีแล้ว สำหรับการลงทุนที่เรามักได้ยินคำนี้อยู่เสมอว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” เพราะนักลงทุนจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของสถานการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้อยู่ตลอด การกระจายความเสี่ยงและเพิ่มสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเข้าไปในพอร์ตการลงทุนของคุณถือเป็นอีกกลยุทธ์ที่สมควรนำมาปรับใช้ในช่วงเวลาที่ขับขันเช่นนี้
“หุ้นของบริษัทที่มีคุณสมบัติ “มูลค่าทางการตลาดสูง คุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้และมีความเสี่ยงต่ำ” ถือเป็นหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดต่างพากันเป็นสีแดงไปทั่วทั้งกระดานหุ้น” ซาวิต้า ซับบรามาเนียน นักกลยุทธ์แห่ง Bank of America กล่าวไว้กับลูกค้าของบริษัทและด้วยไอเดียนี้จึงนำมาสู่การคัดสรรหุ้นที่น่าลงทุนซึ่งจะนำมาสู่การปันผลกำไรให้คุณได้ท่ามกลางความเสี่ยงที่จะเจอวิกฤตเศรษฐกิจระยะยาวและการถดถอยทางเศรษฐกิจ
1. Walmart
หนึ่งในกลยุทธ์การปรับพอร์ตให้สามารถทำผลงานได้ดีท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจคือให้เลือกหุ้นของบริษัทที่มียอดขายมาจากผลิตภัณฑ์และการบริการที่เป็นสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน หุ้นของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น แนวคิดก็คือในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจหดตัวแม้ว่าคุณจะงดออกไปกินมื้อค่ำสุดหรูแต่คุณไม่มีทางหยุดที่จะออกไปซื้อข้าวของเครื่องใช้หรือสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันได้
เมื่อคิดจะเปลี่ยนจากพอร์ตการลงทุนแบบรุกมาเป็นแบบรับแล้วหุ้นของบริษัทอันดับหนึ่งผู้ขายสินค้าปลีกและข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของอเมริกาอย่าง วอลมาร์ท (NYSE:WMT),
ถือเป็นตัวเลือกแรกที่ขาดไม่ได้ของพอร์ตการลงทุน ด้วยตัวเลขประเมินความเสี่ยงเพียง 0.43 (ปกติแล้วความเสี่ยงที่ถือว่าสูงจะต้องอยู่ในระดับ 1 หรือมากกว่านี้ขึ้นไป) ทำให้วอลมาร์ทถือเป็นหุ้นที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงและปลอดภัยตัวหนึ่ง
หุ้นของวอลมาร์ทในปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ $104.05 หลังจากที่ปรับตัวลดลง 10% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ร่วงลงมา 26% ในเดือนที่แล้ว หากพิจารณาตามปัจจัยพื้นฐานแล้วนี่คือเวลาที่ไม่เลวหากคิดจะลงทุนซื้อหุ้นวอลมาร์ทเพราะบริษัทพึ่งมีแผนที่สามารถใช้แล้วได้ผลในการดึงลูกค้าจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) มาได้
แผนการตลาดของการค้าปลีกรายย่อยแบบผสมซึ่งก็คือการเพิ่มช่องทางการซื้อของออนไลน์และร้านค้าออฟไลน์เดิมที่มีอยู่รวมเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสบการณ์การซื้อของให้กับลูกค้าคือหลักฐานที่ทำให้รายงานผลประกอบการรอบล่าสุดของบริษัทดีขึ้น
นอกจากนี้การตลาดที่ผู้ถือหุ้นได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆ จากการซื้อของกับวอลมาร์ททำให้หุ้นของบริษัทเป็นตัวเลือกที่ดีและยังมีระบบติดตามและบันทึกผลการทำกำไรและการได้เงินปันผลของผู้ถือหุ้นแต่ละรายอีกด้วย ช่วงต้นปีที่ผ่านมาวอลมาร์ทได้ประกาศแล้วว่าอัตราการผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 4% และตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ $2.16 ต่อหุ้นในแต่ละปีคิดเป็น 1.89% ของการปันผล ตลอด 46 ปีที่ผ่านมาวอลมาร์ทมีการเพิ่มอัตราการปันผลฯ ในทุกๆ ปีซึ่งข้อดีของการเพิ่มอัตราการปันผลในทุกๆ ปีนี้จะทำให้เกิดการคานกันของผลกำไรในพอร์ตและเป็นการป้องกันตัวจากอัตราเงินเฟ้อไปในตัวด้วย
2. Procter & Gamble
บริษัทข้ามชาติจากสหรัฐอเมริกาพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (NYSE:PG) หรือเรียกสั้นๆ ว่า “พีแอนด์จี” เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจากสหรัฐอเมริกา มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซินซินแนติ รัฐโอไฮโอคืออีกหนึ่งตัวเลือกในการลงทุนที่เราอยากนำเสนอ ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนการบริโภคถือเป็นสิ่งจำเป็นและพีแอนด์จีคือหนึ่งในตัวเลือกเหล่านั้น
แม้จะปรับตัวขึ้นมา 80% นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2018 แต่เมื่อเดืนที่ผ่านมาหุ้นพีแอนด์จีก็ได้รับผลกระทบและปรับตัวลดลง 17% มีราคาปิดเมื่อวานนี้อยู่ที่ $101.84 ถึงอย่างนั้นบริษัทพีแอนด์จีก็ถือว่าเป็นบริษัทที่มีการปันผลสูงมากที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าบริษัทพีแอนด์จีได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่า 128 ปีแล้วซึ่งที่ผ่านมาบริษัทไม่เคยที่จะหยุดการปันผล แม้กระทั่งในตอนนี้บริษัทก็ยังคงรักษาสถิติการปันผลติดต่อกัน 63 ปี สามารถทำผลกำไรได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นยามสงคราม เศรษฐกิจตกต่ำ อดอยากปากแห้งเพียงใด
ปัจจุบันหุ้นพีแอนด์จีมีเปอร์เซนต์การปันผลอยู่ที่ 2.67% มีตัวเลขการปันผลต่อหุ้นในแต่ละไตรมาสอยู่ที่ $0.74 ด้วยสถิติการปันผลที่ผ่านมาซึ่งมีอดีตอย่างยาวนานจึงทำให้นักลงทุนไว้ใจตัวบริษัทมาโดยตลอดและถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนแบบเล่นเกมรับ
อีกหนึ่งสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการถือหุ้นพีแอนด์จีก็คือในยามที่ตลาดมีการผันผวนมากๆ อย่างเช่นเวลานี้หุ้นพีแอนด์จีจะทำผลงานได้ดีมากๆ เมื่อเดือนที่แล้วในขณะที่มีการผันผวนปรากฏว่าหุ้นพีแอนด์จีสามารถทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีหลักบางตัวเสียอีก
3. Coca-Cola
พูดถึงชื่อโคคาโคล่า (NYSE:KO) คงไม่ต้องอธิบายถึงความเป็นมาของบริษัทชื่อดังเจ้าของเครื่องดื่มสีดำนี้มากนักว่าเหมาะที่จะเป็นหุ้นในกลุ่มตั้งรับมากแค่ไหน โคคาโคลาเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มชื่อดังมากกว่า 500 แบรนด์ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ ชาเย็นและเครื่องดื่มของบริษัทก็ถูกวางขายไปใน 200 ประเทศทั่วโลก จาก 500 แบรนด์มี 21 แบรนด์ดังอย่างเช่น Sprite, Minute Maid และ Fuze Tea ที่สามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้มากถึง $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
โคคาโคล่ามีโอกาสที่จะเพิ่มเงินปันผลให้กับนักลงทุนได้และบริษัทยังทำสถิติปันผลกำไรติดต่อกันมาแล้ว 56 ปี เพียงระยะเวลาก็สามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของแบรนด์และบริษัทได้แล้วว่าสามารถทำผลงานและอยู่รอดได้ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย ตลาดซบเซาและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดอย่างไร
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทโคคาโคล่าพึ่งเพิ่มตัวเลขการปันผลรายปีขึ้น 2.5% คิดเป็น $1.64 ต่อหุ้น เมื่อวานนี้หุ้นโคคาโคล่ามีราคาปิดอยู่ที่ $47.16 มีอัตราการปันผลรายปีอยู่ที่ 3.14%
โดยสรุปแล้ว…
หุ้นของวอลมาร์ท พีแอนด์จีและโคคาโคล่าที่เราได้นำเสนอไปคือตัวเลือกที่ดีและสามารถพึ่งพาได้ท่ามกลางมรสุมไวรัสโคโรนาที่ยังไม่รู้ว่าจะสงบลงเมื่อไหร่ ทั้งสามบริษัทมีประวัติศาสตร์และผลงานที่ดีทั้งในแง่ของผลกำไรและสภาพคล่อง หากในพอร์ตลงทุนของหุ้นมีหุ้นเหล่านี้อยู่แล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องตื่นตระหนกกับขาลงในตอนนี้มากนัก อันที่แล้วแล้วยิ่งราคาปรับตัวลงมายิ่งเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อหุ้นเหล่านี้เพิ่มเสียด้วยซ้ำ