หุ้นของบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ผู้ผลิตมือถือชื่อดังอย่างไอโฟน (iPhone) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนามากที่สุดเช่นเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ที่ร่วงลงมาอย่างมหาศาลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หุ้นแอปเปิ้ลเฉลี่ยแล้วปรับตัวลงมา 17% นับจากจุดสูงสุดของราคาในสัปดาห์ก่อนซึ่งถือเป็นการร่วงลงครั้งที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเมื่อเทียบกับวิกฤติทางการเงินในปี 2008
สถานการณ์ของไวรัสโคโรนาในปัจจุบันมียอดผู้ติดเชื้อทั้งโลกรวมกันแล้วมากกว่า 85,000 รายและมีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 2,800 ราย สาเหตุที่แอปเปิ้ลเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะกำไรของบริษัทประมาณ 20% มาจากลูกค้าในประเทศจีน นอกจากนี้ฐานการผลิตโอโฟนส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ในประเทศจีนด้วยเช่นกัน
หลังจากที่หุ้นแอปเปิ้ลเคยสร้างสถิติจุดสูงสุดตลอดกาลไว้ที่ $327.85 ต่อหุ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของแอปเปิลมีราคาปิดอยู่ที่ $273.36 ปรับตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดที่ $256.52 (คิดเป็นการร่วงลงทั้งสิ้น 21%)
การร่วงลงอย่างรุนแรงของหุ้นแอปเปิลในตอนนี้สร้างความน่าสนใจให้กับผู้ที่ต้องการจะลงทุนในหุ้นของแอปเปิลเป็นอย่างมาก เมื่อมองย้อนกลับไปหากตัดเรื่องไวรัสโคโรนาออกไป iPhone 11 กำลังทำกำไรให้กับบริษัทอย่างมหาศาลเป็นการต่อยอดความสำเร็จของยอดขายมือถือ iPhone XR ในปี 2019 จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นนักลงทุนกำลังรอคอยจังหวะเข้าซื้อเพื่อที่จะขอเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทระดับโลกบ้าง
นักลงทุนในวอลล์สตรีทส่วนใหญ่ยังคงเชื่อในตัวเลขอัตราการเติบโตของแอปเปิล ในเดือนนี้แอปเปิลมีแผนที่จะเปิดตัวไอโฟนรุ่นราคาประหยัดออกมาและในเดือนกันยายนซึ่งเป็นงานเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ของทุกๆ ปีผู้คนต่างรอคอยที่จะได้เห็นไอโฟนที่สามารถรองรับนวัตกรรม 5G ได้ นอกจานี้รายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมก็ออกมาหักปากกาเซียนของนักวิเคราะห์ที่มองว่าขาขึ้นอันแข็งแกร่งของแอปเปิลจะต้องจบลง
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัทก็ได้ออกมาบอกกับผู้ถือหุ้นด้วยตัวเองว่ารายงานผลประกอบการที่กำลังจะมาถึงนี้ตัวเลขผลกำไรอาจโตไม่ถึงเป้าที่ตั้งใจเอาไว้จากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาในประเทศจีน
อัตราการเติบโตเป็นศูนย์
แม้ว่าปัจจัยเชิงบวกของแอปเปิลตามที่ได้กล่าวไปจะชี้ให้เห็นว่าบริษัทแอปเปิลยังมีอนาคตในระยะยาว แต่เราก็เห็นความเป็นไปได้ที่ความเสี่ยงอาจก่อตัวขึ้นในระยะยาวกับบริษัทแอปเปิลด้วยเช่นกัน จากปัญหาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นเลยว่าการที่บริษัทมีฐานการผลิตส่วนใหญ่อยู่ในจีนทำให้แอปเปิลต้องชะลอตัวมากกว่าใครเพื่อน นอกจากนี้บริษัทยังต้องรับความเสี่ยงจากตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคการผลิตในประเทศจีนที่หดตัวลงสู่จุดต่ำสุดของดัชนี
โกลด์แมน แซคส์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชื่อดังของสหรัฐอเมริกาได้ประเมินตัวเลขการปันผลของแอปเปิลในปีนี้ลงจาก $174 ต่อหุ้นเหลือ $165 ต่อหุ้นหรือหากคิดเป็นเปอร์เซนต์คือปี 2020 นี้แอปเปิ้ลจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 0% โกลด์แมน แซคส์มองว่าถ้าปีนี้แม้แต่ประเทศจีนยังต้องขอเวลานอกจากเกมสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าบริษัทที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศจีนจะได้รับผลกระทบมากเพียงใด อัตราการเติบโตและผลกำไรของบริษัทสหรัฐฯ ที่มีฐานลูกค้าและฐานการผลิตอยู่ในจีนจะต้องพบกับสภาวะการชะลอตัวในปี 2020 นี้
จากปัจจัยแวดล้อมเชิงลบที่ได้กล่าวมาทำให้นักวิเคราะห์บางคนปรับตัวเลขเป้าหมายอัตราการเติบโตของหุ้นแอปเปิลลงมา การที่นักวิเคราะห์ลดตัวเลขนี้ลงสามารถตีความอีกอย่างหนึ่งได้ว่านักลงทุนจะได้เห็นหุ้นแอปเปิลอยู่ในแนวโน้มขาลงไปอีกสักระยะแม้ว่าการดีดตัวกลับขึ้นมาล่าสุดจะมีนัยสำคัญทางการวิเคราะห์เชิงเทคนิคอยู่บ้าง สำหรับนักลงทุนที่กำลังรอโอกาสจะเข้าเป็นเจ้าของหุ้นแอปเปิลอยู่ในตอนนี้เราอยากจะให้คุณหยุดความคิดนั้นก่อนและรอดูสถานการณ์ไปอีกสักระยะ
นายคริสเตียน กลิซมัน นักกลยุทธ์แห่งโกลด์แมน แซคส์วิเคราะห์ให้กับลูกค้าในบริษัทฟังว่า
“แม้ว่าการรอซื้อหุ้นของบริษัทใหญ่ในสถานการณ์วิกฤติจะเป็นสิ่งที่ใครๆ คิดกับหุ้นแอปเปิลแต่เรากลับมองว่าการซื้อหุ้นแอปเปิลในตอนนี้ออกจะดูเสี่ยงเกินไปอยู่บ้างเพราะภาพรวมทางเศรษฐกิจโลกยังคงบอบช้ำจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นโลกยังไม่เข้าสู่สถานการณ์ที่สามารถควบคุมไวรัสตัวนี้ได้และเรายังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่กับไวรัสโคโรนานี้ไปอีกนานเท่าใด”
โดยสรุปแล้ว…
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตอนนี้ทำให้แอปเปิลเป็นหนึ่งในบริษัทที่กำลังได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากมีทั้งฐานลูกค้าและฐานการผลิตส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน แม้ว่าการปรับตัวลงของหุ้นบริษัทจะทำให้หุ้นแอปเปิลมีความน่าสนใจมากเพียงใดแต่เพราะยังไม่มีใครสามารถประเมินความเสียหายและระยะเวลาทั้งหมดที่มนุษยชาติยังต้องอยู่กับไวรัสโคโรนาได้จึงทำให้การเข้าซื้อหุ้นแอปเปิลในตอนนี้ยังคงมีความเสี่ยงอยู่