ข่าวการแพร่ระบาดนอกชายฝั่งประเทศจีนของไวรัสโคโรนาส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั่วโลก ความเป้นกังวลในหมู่นักลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นักลงทุนต่างรีบเทขายหุ้นที่อยู่ในความเสี่ยงออกไป ดังนั้นการทำความเข้าใจหุ้นของบริษัทไหนที่มีโอกาสได้รับผลกระทบสูงจาก COVID-19 จึงเป็นเรื่องจำเป็น
เป็นที่ทราบกันดีว่าต้นเหตุของเชื้อไวรัสโคโรนามีที่มาจากเมืองอู่ฮั่นในประเทศจีน อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จีนคือ 1 ใน 5 ประเทศผู้นำเข้าสินค้าสหรัฐฯ คนสำคัญในปี 2018 ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอย่างเฟอร์นิเจอร์ ของเล่น อุปกรณ์กีฬา โทรศัพท์มือถือ สินค้าอุปโภคบริโภคอีกมากมาย
3 บริษัทที่เลือกมานี้เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เราต่างก็รู้จักกันดี พวกเขาถือเป็นบริษัทที่มีหุ้นอยู่ในระดับสามารถขับเคลื่อนตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ได้และยังมีโรงงานและสินค้ามากมายซึ่งล้วนแล้วตั้งอยู่ในประเทศจีน แม้ทั้ง 3 จะเป็นใหญ่ในแต่ละกลุ่มหุ้นแต่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าทั้ง 3 บริษัทนี้กำลังได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาตราบเท่าที่มนุษยชาติยังไม่สามารถหายามารักษาเชื้อไวรัสนี้ให้หายขาดได้
1.Amazon.com
ทันทีที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิดทำการในช่วงเช้าของวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ หุ้นของบริษัทของชายที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดในโลกนายเจฟฟ์ เบโซสอย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) ทรุดลงทันที 5% ซึ่งถือว่าเป้นการทรุดหนักที่สุดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนับตั้งแต่เริ่มปี 2020 เป็นต้นมา สิ่งที่นักลงทุนเป็นห่วงที่สุดสำหรับแอมะซอนก็คือการที่บริษัทต้องเผชิญกับการหาสินค้ามาสนองความต้องการของผู้ซื้อไม่ทันเพราะสาขาบริษัทในประเทศจีนต้องหยุดทำการลงชั่วคราวซึ่งอาจนำมาสู่ปัญหาการขาดแคลนสินค้าได้
สาเหตุที่แอมะซอนมีโอกาสสะดุดในแง่ของการหาของไม่ได้ก็เพราะระบบการทำงานของแอมะซอนใช้วิธีดึงของจากคลังสินค้าหนึ่งมายังคลังสินค้าหนึ่งก่อน ในช่วงเวลาปกติระบบนี้จะทรงประสิทธิภาพอย่างมากจนสามารถสร้างบริการสั่งสินค้าในตอนเช้าเย็นมาได้สินค้าเลย (same-day delivery) ทำให้ผู้ซื้อไม่มีความจำเป็นต้องรอสินค้าให้ต้องผ่านขั้นตอนการขายก่อนเหมือนในอดีต
นายกูรู ฮาริฮาราน (Guru Hariharan) อดีตพนักงานแอมะซอนและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท CommecrIQ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร New York Times ว่า“นี่คือข้อเสียหลักๆ ของระบบการยืมสินค้าเพื่อให้ลูกค้าได้รับก่อน”
ถ้าอยากทราบว่าความเสียหายจริงที่แอมะซอนจะได้รับจากไวรัสโคโรนาว่าจะมีมากแค่ไหนให้รอดูข้อมูลผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริษัทบุคคลที่สามที่แอมะซอนใช้วิธีนำสินค้าจากบริษัทเหล่านั้นมาให้กับผู้ซื้ิอซึ่งผู้ขายเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีโรงงานผลิตสินค้าอยู่ในจีนทั้งนั้น สินค้าอย่างเช่น ของเล่นเด็ก ดินสอสี อุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยงคิดเป็น 60% ของยอดขายที่แอมะซอนสามารถทำได้
แม้ว่าหุ้นแอมะซอนจะปรับตัวลดลง 4% เมื่อวันจันทร์เหลือ $2009.29 แต่ถ้าพิจารณาการปรับตัวขึ้นตลอดทั้งปี 2020 รวมแล้วหุ้นแอมะซอนปรับตัวขึ้นมาทั้งสิ้น 8% และถ้าพิจารณาในรอบ 12 เดือนล่าสุดจะพบว่าหุ้นแอมะซอนปรับตัวขึ้นมาทั้งสิ้น 23%
2.Apple
บริษัทผู้ผลิตมือถือชื่อดังระดับโลกอย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ถือเป็นบริษัทแรกของกลุ่มเทคโนโลยีเลยที่ออกมาบอกกับผู้ถือหุ้นตามตรงว่าไตรมาสล่าสุดบริษัทคงไม่อาจทำยอดให้เกินเป้าอย่างที่แล้วมาเพราะได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาจนทำให้บางสาขาในประเทศจีนไม่สามารถเปิดให้บริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ประเทศจีนถือเป็นหนึ่งในตลาดที่แอปเปิลสามารถทำยอดขายได้สูงถึงเกือบ $5,200 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแอปเปิลได้ออกมาบอกว่ากระบวนการผลิตมือถือไอโฟน (iPhone) ที่ทำกำไรมากที่สุดให้กับบริษัทต้องสะดุดลงชั่วคราวเพราะปัญหาไวรัสโคโรนา “แม้ว่าเราจะกลับมาทำงานได้แล้วแต่ก็ยังเป็นการทำงานที่ไม่เต็มประสิทธิภาพเพราะคนงานบางคนไม่สามารถมาทำงานได้จริงๆ”
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “ผู้คนทั่วโลกต่างกำลังจับตารอดูไอโฟนราคาประหยัดของแอปเปิลที่เชื่อกันว่าจะวางขายในเดือนมีนาคมข้างหน้านี้ เราต้องมาดูกันว่ามือถือรุ่นนี้จะได้รับผลกระทบจากโคโรนาไวรัสมากน้อยแค่ไหน”
นายอามิด ดารัญนานี (Amit Daryanani) นักวิเคราะห์แห่ง Evercore ISI เขียนในบทวิเคราะห์ของเขาที่ปรับลดตัวเลขผลกำไรรวมในไตรมาสล่าสุดของแอปเปิลที่จะสามารถทำได้เหลือ $820 ล้านเหรียญสหรัฐว่า “เมื่อนำตัวเลขผลกำไรทั้งหมดที่น่าจะทำได้ของบริษัทมาลบกับตัวเลขความสุญเสียที่เกิดจากการชะลอตัวของกระบวนการผลิตและนำไปเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ปีงบประมาณในปี 2020 คิดว่ากำไรของแอปเปิลคงจะไม่หวือหวาสักเท่าไหร่”
ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงมาเกือบ 4% เมื่อวันจันทร์หุ้นของแอปเปิลก็ได้ปรับตัวลงมา 5% ด้วยเช่นกันโดยมีราคาปิดอยู่ที่ $298.14 คิดเป็นการปรับตัวลงมา 5 วันติดต่อกันแล้วทั้งสิ้น 7%
3. Nike
หนึ่งในเจ้าพ่อเห็นวงการกีฬาอย่างไนกี้ (NYSE:NKE) คืออีกหนึ่งบริษัทใหญ่ที่สุ่มเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่กระขายไปยังอีกหลายพื้นที่ทั่วโลก เมื่อเดือนที่แล้วไนกี้พึ่งจะออกมาบอกว่าร้านค้าปลีกย่อยมากกว่าครึ่งที่เปิดอยู่ในประเทศจีนจำเป็นต้องงดให้บริการลงชั่วคราว นอกจากนี้การแพร่ระบาดยังกระทบต่อโรงงานที่ผลิตอุปกรณ์ของไนกี้ซึ่งตั้งอยู่ในจีนด้วยเช่นกัน
แม้ว่าในปีที่ผ่านมาไนกี้จะพยายามย้ายโรงงานไปตั้งที่อื่นเพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากประเทศจีนแล้วแต่โรงงานหลักก็ยังคงอยู่ที่จีนอยู่ดี 23% ของผลิตภัณฑ์ไนกี้เป็นรองเท้ากีฬาและ 27% ของโรงงานที่ผลิต 23% นี้กำลังได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
จีนถือเป็นประเทศที่ยอดขายของบริษัทมีอัตราการเติบโตมากที่สุดในปีที่แล้ว เฉพาะยอดขายในประเทศจีนบริษัทไนกี้ทำยอดขายในปี 2019 เอาไว้ที่ $620 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากตัวเลขในปี 2014 ที่ $260 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลกำไรที่ไนกี้สามารถทำได้เกือบทั้งหมดล้วนแล้วมาจากในประเทศจีนทั้งสิ้น
หลังจากหุ้นของบริษัทขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดไว้ที่ $105.62 เมื่อเดือนมกราคม ปัจจุบันหุ้นไนกี้ปรับตัวลดลงมา 9% จากจุดสูงสุดนั้นและเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาหุ้นไนกี้มีราคาเหลือ $95.91 คิดเป็นการปรับตัวลดลง 4.3%