หลังจากทำผลงานได้น่าผิดหวังตลอดทั้งปี 2019 เมื่อเทียบกับเพื่อนในกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก (semiconductor) ในที่สุดปีนี้หุ้นอินเทล (NASDAQ:INTC)) ก็สามารถกลับขึ้นมาสร้างผลงานที่โดดเด่นได้อีกครั้ง
หุ้นอินเทลในปี 2020 ทะยานขึ้น 11% มีอัตราการขยายตัวเร็วขึ้น 4% สร้างจุดปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ $67.44 ซึ่งเคยเป็นราคาที่หุ้นขึ้นมาแล้วในปี 2000 สมัยที่โลกเกิดฟองสบู่ทางเทคโนโลยี
สาเหตุที่หุ้นอินเทลสามารถพุ่งขึ้นมาเหมือนจรวดได้ขนาดนี้เพราะยอดขายและความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชิ้นส่วน CPU และศูนย์กลางข้อมูล ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ทำให้ผลประกอบการของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและสูงเกินกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ในไตรมาสที่ 4
ในปีนี้ยอดขายยอดจำหน่ายอุปกรณ์ของบริษัทอินเทลสูงขึ้น $73,500 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ $70,980 ล้านเหรียญสหรัฐ ความดีความขอบในครั้งนี้ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณบริษัทผู้พัฒนาระบบคลาวด์รายใหญ่ของโลกอย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) และไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) ที่ยังคงต้องการชิพประมวลผลและทำศูนย์กลางข้อมูลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หน่วยงานจัดทำสถิติการค้าเซมิคอนดักเตอร์ (WSTS) คาดการณ์ว่าในปีนี้ความต้องการชิพประมวลผลคอมพิวเตอร์จะดีดกลับขึ้นมาจากตัวเลขอัตราการเติบโตที่ลดลงในปีที่แล้ว 6% แม้ว่าปีนี้จะมีความเสี่ยงในเรื่องของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2020 โดยภาพรวมแล้วตลาดยังคงสดใสอยู่ ยิ่งถ้าโลกก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี 5G โดยสมบูรณ์เมื่อไหร่ ตอนนั้นหุ้นบริษัทอินเทลอาจจะเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยก็เป็นได้
อ้างอิงข้อมูลจากรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของบริษัทอินเทล ตัวเลขความต้องการชิพประมวลผลที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและการส่งออกเพิ่มขึ้น 4.8% ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มยอดขายให้กับชิพของบริษัทอินเทลด้วย
การลงทุนชองบริษัทที่สูงเป็นประวัติกาล
หนึ่งในสาเหตุที่ฉุดหุ้นอินเทลให้ปรับตัวลดลงเมื่อปีที่แล้วคือการที่เทคโนโลยีในการผลิตชิพของบริษัทตามหลังคู่แข่งคนสำคัญอย่าง TSMC (NYSE:TSM) และ AMD (NASDAQ:AMD) ที่สามารถผลิตชิพที่มีขนาดเล็กกว่าและใช้ต้นทุนน้อยกว่าได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพื่อที่จะสามารถต่อกรกับคู่แข่งในตลาดได้ เมื่อปีที่แล้วบริษัทอินเทลจึงตัดสินใจลงทุนเป็นจำนวนมหาศาลจนเป็นสถิติสูงสุดของบริษัทตัวเองเพื่อยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีจนในที่สุดตอนนี้อินเทลก็สามารถผลิตชิพที่มีความเล็กที่สุดเท่าที่บริษัทเคยผลิตมาได้สำเร็จซึ่งตัวชิพนั้นมีขนาดความยาวอยู่ที่ 10 นาโนเมตรเท่านั้นหรือเล็กกว่าความกว้างของเส้นผมมนุษย์ปกติ 10 เท่า
แม้ว่าโดยภาพรวมอินเทลจะมีการพัฒนาขึ้นแต่นักวิเคราะห์ยังคงลังเลว่าจะซื้อหุ้นอินเทลหรือซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งอื่นดีกว่า นักวิเคราะห์บางคนยังคงเชื่อว่าอินเทลได้เปรียบในเรื่องของการเป็นบริษัทผู้ผลิตชิพรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อยู่ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้จากความต้องการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่นับวันยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในโลกปัจจุบัน
นายโรส เซย์เมอร์ นักวิเคราะห์แห่งธนาคาร Deutsche เชื่อว่าอินเทลในปีนี้จะสามารถทำผลงานได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ “เมื่อเทียบอัตราความเสี่ยงกับผลตอบแทน บริษัทอินเทลยังถือเป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์”
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บางคนก็เชียร์ให้นักลงทุนลองมองที่คู่แข่งคนสำคัญอย่าง AMD บ้าง นายมาร์ค ลิพาซิส นักวิเคราะห์แห่ง Jefferies เขียนในบทวิเคราะห์ของเขาว่า “แม้ว่าอินเทลจะสามารถผลิตหน่วยประมวลผล MPU 10 นาโนเมตรได้สำเร็จแต่เทคโนโลยีก็ยังถือว่าตามหลัง AMD อยู่ปีหนึ่งเต็มๆ และผมเชื่อว่าภายในสองปีข้างหน้าเซิฟเวอร์ของอินเทลจะต้องแพ้หน่วยวัดความเร็วในการส่งข้อมูลมากถึง 2,000 bps ให้กับ AMD อย่างแน่นอน”
โดยสรุปแล้ว…
เมื่อคิดราคาต่อกำไรที่คาดไว้ที่ 13 เท่าราคาหุ้นอินเทลถือว่ายังถูกมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ที่สำคัญการที่บริษัทอินเทลทุ่มเงินไปกับหน่วยงานวิจัยและพัฒนาแสดงให้เห็นว่าหุ้นของบริษัทเหมาะที่จะลงทุนในระยะยาวแม้ว่าจะต้องเผชิญความกดดันจากบริษัทคู่แข่งอยู่บ้างก็ตาม นอกจากนี้หุ้นอินเทลมีสถิติเติบโตของหุ้นปันผลอยู่ที่ 7% ต่อไปและตอนนี้ก็ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ $1.32 ต่อหุ้นทำให้หุ้นอินเทลถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของการลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจ