ทุกวันนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตทำให้ธุรกิจดั้งเดิมมากมายต่างถูก “ดิสรัป (Disrupted)”และถูกบังคับให้ปรับตัวกันเป็นว่าเล่น บริษัทหรือธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับตัวไม่ทันต่างถูกคลื่นลูกนี้กลบฝังไป บริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก หรือ จีอี (NYSE:GE) ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ เกือบจะเป็นหนึ่งในนั้น ที่ผ่านมานักลงทุนเฝ้าจับตาดูหุ้นจีอีมาตลอดจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ที่นักลงทุนเริ่มจะเห็นสัญญาณการกลับตัวที่ดูแล้วสามารถไว้วางใจได้
CEO ของบริษัทนายลาร์ลีย์ คัลพ์ให้ความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนว่า “ตอนนี้สิ่งสำคัญที่บริษัทต้องให้ความสำคัญมาเป็นอันดับแรกคือสภาพคล่องทางการเงิน เรากำลังพยายามปฏิรูปองค์กรอย่างจริงจังในบางหน่วยงานที่เรามองว่าจำเป็นต้องพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทันยุคทันสมัย”
จากวิสัยทัศน์นี้และทิศทางการมุ่งไปข้างหน้าของบริษัทเริ่มทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนกับหุ้นของบริษัทจีอีอีกครั้ง ในปี 2019 หุ้นจีอีปรับตัวสูงขึ้น 50% และเมื่อวานนี้ยังปรับตัวขึ้นอีก 2% มีราคาปิดอยู่ที่ $13.16 ตลอดทั้งปี 2020 นี้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 15%
อย่างไรก็ตามการพยายามกลับตัวขึ้นมาครั้งนี้ของหุ้นจีอีไม่ได้หมายความว่าปัญหาที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่จะหมดไป เมื่อเทียบจากระยะทางที่หุ้นจีอีปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ปี 2017 แสดงให้เห้นเลยว่าจีอียังต้องพยายามอีกมากหากต้องการกลับสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งในตอนนั้นบริษัทจีอีเสียหายไปมากกว่า $200,000 ล้านเหรียญสหรัฐจนทำให้บริษัทจำเป็นต้องตัดธุรกิจบางประเภทของตัวเองทิ้งไป
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องมองให้ออกว่าการพยายามกลับตัวขึ้นมาครั้งนี้เกิดมาจากวิสัยทัศน์ที่มาถูกทางแล้วของ CEO และผู้บริหารหรือเป็นเพียงความพยายามเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ ของบริษัทกันแน่ เหตุผลหนึ่งที่ขาขึ้นในรอบนี้ดูน่าเชื่อถือและบริษัทดูมีการพัฒนาทางธุรกิจขึ้นเพราะตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 เมื่อเดือนที่แล้วแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีมากขึ้น
จากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2019 ของบริษัทจีอีพบว่ามีเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น $4,000 ล้านเหรียญสหรัฐและสามารถสร้างกำไรจากธุรกิจได้ $2,300 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเป็นตัวเลขมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
เส้นทางขาขึ้นที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ถือว่าลาร์ลีย์ คัลพ์สามารถทำตามคำมั่นที่เขาให้สัญญาไว้ตอนเข้ารับตำแหน่ง CEO ในปี 2018 ได้เป็นอย่างดี จากการดิสรัปทางเทคโนโลยีทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมียอดขายตกลงอย่างรวดเร็วแต่เขาสามารถพยุงเรือจีอีเอาไว้ไม่ให้จมลงไปมากกว่านี้
น่าประหลาดใจที่สภาพคล่องของบริษัทกลับมาได้จากการขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการบิน จากรายงานพบว่าบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 5.7% และอีก 22% มาจากบริษัทโบอิ้ง (NYSE:BA) ก่อนที่จะมีข่าวเครื่องบินโบอิ้ง 737 MAX ตก นอกจากนี้บริษัทยังได้ยอดขายใบพัดเครื่องบินมาจากบริษัท Safran (PA:SAF) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบินในฝรั่งเศส นอกจากนี้จีอียังขายใบพัดเครื่องบินให้กับบริษัท Airbus Group (PA:AIR) รุ่น A320neo แม้เครื่องบินโบอิ้งจะตกแต่ทางจีอีได้ออกมาบอกว่าภายในช่วงกลางปี 2020 นี้บริษัทจะสามารถทำกำไรกลับมาชดเชยจำนวนเงินที่เสียไปจากการขาดทุนตอนเครื่องบินตกได้
อย่างไรก็ตามธุรกิจด้านพลังงานของบริษัทกลับไม่ได้มีผลงานที่สวยหรู จนถึงปีนี้ความพยายามที่จะพัฒนาพลังงานทดแทนหรือเทคโนโลยีการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่เหมือนกับการเอาเงินไปผลาญเล่นเสียมากกว่า เฉพาะธุรกิจพัฒนาพลังงานนี้บริษัทเสียเงินลงทุนและเงินหมุนเวียนไปมากกว่า $1,500 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 และธุรกิจพลังงานทดแทนคาดว่ามีตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ $1000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถึงกระนั้นนักวิเคราะห์มองว่าการที่บริษัทกำลังทดลองทำอะไรใหม่ๆ ถือว่าเป็นการเดินที่มีวิสัยทัศน์มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้จะเอาเงินไปเผาเล่นกับการทดลองแต่บริษัทจีอีก็ยังมีตัวเลขสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of America) ได้เลื่อนสถานะของหุ้นจีอีขึ้นมาให้อยู่ในระดับน่าซื้อ ดีน เดรย์ นักวิเคราะห์แห่งกองทุน RBC กล่าวว่า “การคาดการณ์ของ FCF ในปี 2020 ควรที่จะยกรัดับหุ้น GE ขึ้นมาได้แล้ว”
ตอนนี้นักวิเคราะห์ชื่อดัง 7 จาก 17 คนแนะนำให้ซื้อหุ้นจีอีแล้วในขณะที่ 2 คนแนะนำให้ขายส่วนอีก 6 คนแนะนำให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน โดยนักวิเคราะห์เหล่านี้ได้ประเมินไว้ว่าหุ้นจีอีมีค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นอยู่ที่ $12.75 ภายในระยะเวลาอีก 12 เดือน
โดยสรุปแล้ว…
การปรับปรุงโครงสร้างภายในองค์กรใหม่ของบริษัทจีอีแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นของบริษัทและ CEO อย่างไรก็ตามหากจะให้ตัดสินว่าหุ้นจีอีจะขึ้นเลยไหม คงไม่อาจตอบได้ในตอนนี้เพราะยังมีอีกหลายอย่างมากที่จีอีจำเป็นต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน ที่สำคัญธุรกิจการบินในตอนนี้กำลังได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาด้วย