ถ้าพูดถึงสาเหตุการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ในวอลล์สตรีทซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 4 เดือนจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำเนิดมาจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน
ปัจจุบันตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อชาวจีนที่มีรายงานเข้ามาเมื่อวันอังคารอยู่ที่ 4,515 รายและตัวเลขนี้ยังคงจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามวิวัฒนาการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาและยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดมี 106 คนแม้ว่าตัวเลขทั้งหมดจะเป็นเพียงชาวจีนเท่านั้นก็ตาม ผู้ติดเชื้อรายอื่นๆ ที่อยู่นอกประเทศจีนในตอนนี้จะพบเป็นกรณีเล็กๆ ไปอย่างเช่นใน สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ยิ่งการแพร่ระบาดของโคโรนาเร็วขึ้นเท่าไหร่ผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยวอย่างเช่นหุ้นสายการบิน โรงแรม คาสิโน ต่างได้รับผลกระทบและร่วงลงก่อนหุ้นกลุ่มอื่น ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคมหุ้นของวินน์รีสอร์ท (NASDAQ:WYNN) และลาส เวกัส แซนด์ (NYSE:LVS) ที่เปิดให้บริการขนาดใหญ่อยู่ที่จีนปรับตัวลดลง 12.30% และ 7.35% ตามลำดับในขณะที่สายการบินอย่าง ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ (NASDAQ:UAL) ร่วงลง 12.32%
อย่างไรก็ตามหุ้นของบริษัทที่ทำเกี่ยวกับอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยให้กับคนงานที่ต้องรับความเสี่ยงสูงและวัคซีนรักษาโรคกลับมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งเราเชื่อว่าตราบเท่าที่เรื่องไวรัสโคโรนายังไม่จบลงหรือสามารถหาทางรักษาได้อย่างเด็ดขาดความต้องการในเรื่องของอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ความสะอาดและวัคซีนรักษาโรคจะยังคงมีอัตราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และ 3 หุ้นต่อไปนี้คือผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมด้านผลิตภัณฑ์รักษาความสะอาดและยารักษาโรค
1. Lakeland Industries
Lakeland Industries (NASDAQ:LAKE) เป็นบริษัทที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับงานดับเพลิง อุปกรณ์ป้องกันความร้อน ชุดป้องกันความร้อนและสารเคมี ราคาหุ้นของบริษับปรับตัวสูงขึ้น 27.6% นับตั้งแต่วันที่ 21 มกราคมซึ่งเป็นวันที่ข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเริ่มส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ นับตั้งแต่ช่วงต้นปีมาจนถึงปัจจุบันตอนนี้หุ้นของบริษัทปรับตัวขึ้นมาแล้ว 30% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ขึ้นมาเพียง 1.4% มีราคาปิดอยู่ที่ $14.00 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บริษัทมีมูลค่าทางการตลาดทั้งหมดอยู่ที่ $112.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนหน้านี้หุ้นของบริษัทเลคแลนด์เคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลในรอบ 10 ล่าสุดไว้ที่ราคาประมาณ $29 จากข่าวการแพ่รระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาในแอฟริกาปี 2014
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ไวรัสโคโรนายังคงระบาดและยังไม่มีข่าวว่าสามารถมีหนทางรักษาโรคนี้ได้อย่างจริงจังเราจึงเชื่อว่าปริมาณความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์ของบริษัทจะยิ่งเติบโตสูงขึ้น
ลูกค้าของบริษัทเลคแลนด์ส่วนใหญ่เป็นบริษัทในวงการอุตสาหกรรมและรัฐบาลจาก 40 ประเทศทั่วโลกเช่น จีน สหรัฐฯ แคนาดาและประเทศในยุโรป นอกจากนี้ยังมีลูกค้าที่เป็นกระทรวงใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ เช่นกระทรวงกลาโหม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค
2. Alpha Pro Tech
Alpha Pro Tech (NYSE:APT) เป็นบริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการปกป้องผู้คนและสิ่งแวดล้อมเช่นชุดป้องกันสำหรับการทำความสะอาด ชุดป้องกันการติดเชื้อ หน้ากากอนามัย ฯลฯ ซึ่งบริษัทมีฐานการผลิตอยู่ที่สหรัฐฯ แต่ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปขายยังที่ต่างๆ ทั่วโลก
นับตั้งแต่วันที่ 21 มกราคมหุ้นของบริษัทได้ปรับตัวสูงขึ้น 62.8% และสามารถทำราคาสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปีมาจนถึงปัจจุบันไว้ที่ $7.86 เมื่อวันจันทร์ ราคาหุ้นในปี 2020 กระโดดขึ้นมามากถึง 66% และมีราคาปิดอยู่ที่ $5.70 ในช่วงเช้าของวันอังคาร บริษัทมีมูลค่ารรวมทางการตลาดอยู่ที่ $74.2 ล้านเหรียญสหรัฐ กราฟของอัลฟ่าคล้ายกันกับเลคแลนด์ที่เคยมีการทะยานขึ้นสูงเป้นประวัติกาลในปี 2014 จากการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลา
หลังจากที่บริษัทเคยสร้างชื่อได้ตอนที่โลกต้องผ่านวิกฤติโรคระบาด SARS, MERS และอิโบลา บริษัท อัลฟาโปรก็จะเป็นชื่อแรกๆ ที่คนนึกขึ้นได้เวลาที่โลกเข้าสู่ความวิกฤติทางด้านสุขภาพ เราจะเห็นได้ว่าตอนนี้หน้ากากอนามัยเริ่มที่จะขาดตลาดทั่วโลกแล้ว ที่สำคัญยังพบว่ามีการสั่งซื้อแว่นตาเพื่อป้องกันฝุ่นและรองเท้าพิเศษที่ใช้ในการทำงานที่ต้องเสี่ยงจากการติดเชื้อผ่านเท้า
3. Vir Biotechnology
Vir Biotechnology (NASDAQ:VIR) เป็นบริษัทที่ทำวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับการรักษาโรคและการป้องกันโรคติดเชื้ออย่างร้ายแรง หุ้นของบริษัท VIR ที่พึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคมปี 2019 ปรับตัวขึ้น 30% นับตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาหุ้นมีราคาอยู่ที่ $21.31 และมูลค่าทางการตลาดทั้งหมด $2,340 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นของบริษัทปรับตัวขึ้นมา 70% นับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันและสร้างราคาสูงสุดตลอดกาลไว้ที่ $27.48 เมื่อวันจันทร์
บริษัท Vir ถือว่าอยู่ในจุดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เชื้อไวรัสโคโรนายังคงระบาดเพราะบริษัทมีแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีโดยตรงที่จะสามารถศึกษา ทดลองและจัดการกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ได้ นักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทนี้จะสามารถสร้างวัคซีนที่สามารถออกมาต่อกรกับเชื้อไวรัสโคโรนาได้โดยเร็ว