เมื่อสงครามหรือความขัดแย้งเกิดขึ้นหันไปหาสินทรัพย์สำรองตัวไหนก็ล้วนแล้วแต่ปรับตัวสูงขึ้นหมดไม่ว่าจะเป็นราคาทองคำหรือราคาน้ำมันดิบที่เป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนเมื่อความขัดแย้งในตะวันออกกลางเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามสินค้าโภคภัณฑ์ตัวหนึ่งที่น่าสนใจในช่วงนี้คือน้ำตาลทรายดิบที่อาจจะสามารถพุ่งขึ้นมาทดสอบจุดสูงสุดของราคา14 เซนต์ได้และอาจปรับตัวขึ้นไปได้อีกตราบใดที่ราคาน้ำมันดิบยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ก่อนที่เราจะไปกันต่อมีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างน้ำตาลทรายดิบและน้ำมันดิบที่ผู้อ่านบางคนซึ่งไม่ได้ติดตามสินค้าโภคภัณฑ์ตัวนี้เป็นประจำควรทราบนั่นก็คือ “ยิ่งราคาน้ำมันสูงมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้ผู้ผลิตนำน้ำตาลทรายดิบมาสร้างเป็นพลังงานธรรมชาติเอทานอลมากเท่านั้นซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าน้ำตาลปกติ”
เปิดศักราช 2020 ด้วยความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคงจะไม่มีข่าวไหนดังไปกว่าการตัดสินใจสังหารนายพลคนสำคัญของอิหร่านนายคัสเซ็ม โซเลมานี ของสหรัฐฯ ข่าวนี้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกวิตกว่าทั้งสองประเทศจะก่อสงครามกัน ราคาน้ำมันดิบทั้ง WTI และ Brent ต่างพากันปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นไปยังระดับราคา $65.65 ในขณะที่น้ำมันดิบ Brent ขึ้นไปยัง $71.28
โดยรวมแล้วดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างนักลงทุนในตลาดน้ำมันดิบแต่กลับไม่ใช่อย่างงั้นเมื่อทั้งสองชาติออกมาบอกว่าจะไม่ขยายวงกว้างของความรุนแรงออกไปมากกว่านี้ ดังนั้นราคาน้ำมันดิบ WTI จึงปรับตัวกลับลงมาอยู่ต่ำกว่า $60 บาร์เรลในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ยังคงวิ่งอยู่ที่ระดับราคา $65 เช่นเดียวกันกับราคาทองคำที่ต้องปรับตัวลดกลับลงมาด้วย
ถึงราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นมาได้สั้นๆ แต่ตลาดน้ำตาลทรายดิบกลับยังคงยืนหยัดได้
แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นมาได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ไม่ใช่กับน้ำตาลทรายดิบที่ไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูงขนาดนี้มานานแล้ว ด้วยความตกลงกันระหว่างผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำตาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ใช้เอทานอลไม่เกิน 10% เป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงทำให้ราคาน้ำตาลดิบขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของราคาได้นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2018 ที่ระดับราคา 13.79 เซนต์ต่อ Ib ของตลาดหุ้นนิวยอร์กซึ่งเป็นหนึ่งวันก่อนที่สหรัฐฯ - อิหร่านจะสงบศึกกัน
ข่าวดีสำหรับผู้ที่ถือขาขึ้นของตลาดน้ำตาลทรายดิบมานานคือตอนนี้กราฟยังคงอยู่ใกล้จุดสูงสุดของราคาอยู่ แม้ว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ - อิหร่านจะสงบลงไปแล้ว สาเหตุเป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรในประเทศผู้ผลิตอย่างบราซิล อินเดียและไทยขาดแคลน
อุปทานของน้ำตาลดิบในตลาดโลกมีจำกัด
หลังจากสองวันที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมา ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดหุ้นนิวยอร์กก็ปรับตัวสูงขึ้น 2% ขึ้นไปยังราคา 13.71 เซนต์ จุดต่ำสุดของราคาในสัปดาห์นี้กับสัปดาห์ที่แล้วห่างกันเพียง 0.8 เซนต์เท่านั้น นายแจ๊ค สโควิลล์ นักวิเคราะห์แห่งตลาดซื้อขายราคาสินค้าล่วงหน้าเมืองชิคาโกให้ความเห็นเกี่ยวกับราคาน้ำตาลฯ ไว้ว่า
“ดูเหมือนว่าน้ำตาลดิบในปีนี้จะเป็นที่ต้องการของทั่วโลก อ้างอิงจากรายงานระบุว่ามีปริมาณการส่งออกมาจากอินเดียมาเพียงน้อยนิด ประเทศไทยในปีนี้ก็อาจจะให้ผลผลิตที่ไม่ดีเนื่องจากพื้นที่ป่าลดลง ปริมาณน้ำมันฝนที่ไม่แน่นอนและฤดูมรสุม บราซิลก็มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ใจกลางทางตอนใต้ของประเทศแม้ว่าพยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนตกในสัปดาห์หน้าก็ตาม”
ความเห็นของเราเกี่ยวกับการลงทุนในน้ำตาลดิบ….บายสิครับ!รออะไร
เว็บไซต์ investing.com ขอแนะนำให้นักลงทุนที่เข้ามาอ่านบทความของเราว่า “วางคำสั่งซื้อ (Buy)” กับราคาน้ำมันตาลดิบไปได้เลย เราเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะสามารถขึ้นไปถึงแนวต้านที่ 14 เซนต์ได้คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 2% ก่อนที่ราคาน้ำตาลดิบจะปรับฐานลดลงมาจากแนวต้านบริเวณนั้น
อินดิเคเตอร์เองก็แนะนำไปในทิศทางขาขึ้นเดียวกันโดยเส้นค่าเฉลี่ยของกราฟราคาน้ำตาลดิบ 100 วันอยู่ที่ 13.50 เซนต์ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 DMA อยู่ที่ 13.48
นายอิริค สโคลล์ นักวิเคราะห์ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แห่งตลาดซื้อขายล่วงหน้า RJO แห่งชิคาโกให้ความเห็นว่า “กราฟราคาน้ำตาลดิบยังคงอยู่ในกรอบแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ปัจจัยที่ตลาดโลกในปีนี้อาจขาดแคลนน้ำตาลดิบมีส่วนมากๆ ที่จะช่วยหนุนราคาน้ำตาลดิบให้ปรับตัวขึ้นไปได้สูงกว่าที่เราเห็น”
อย่างไรก็ตาม...ไม่ควรประมาทการผันผวนของราคา
แม้จะเป็นข่าวดีแต่นักวิเคราะห์ทั้งสองท่านก็เตือนว่าเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นคนที่ต้องการจะขายสวนแนวโน้มก็จะมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน
“เป็นไปได้ที่เมื่อกราฟขึ้นไปถึงแนวทำกำไรแล้วจะมีนักลงทุนขาขึ้นบางส่วนออกจากตลาดไป แม้ผมจะเชียร์ฝั่งขาขึ้นแต่เมื่อถึงตอนนั้นจริงกราฟคงจะผันผวนเป็นเรื่องธรรมดา” นายอิริค สโคลล์ กล่าว
“ในระยะยาวปริมาณความต้องการน้ำตาลดิบจะเพียงพอต่อความต้องการในโลก ประเทศอินเดียเห็นความเป็นไปได้ที่ปีนี้จะประสบปัญหาเกี่ยวกับการผลิตน้ำตาลดิบ ดังนั้นพวกเขาจึงกักตุนน้ำตาลดิบจากปีที่แล้วเอาไว้ก่อนที่จะนำมาขายในตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม” - นายแจ๊ค สโควิลล์ กล่าว