-
อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำแล้วประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่สถาบันต่างๆ จะไม่เดิมพันกับหุ้น นั่นเป็นการหนุนราคาให้สูงขึ้นอีก
-
นักวิเคราะห์ยังคงเห็นเปอร์เซ็นต์ของจุดสูงสุดตลอดกาลเนื่องจากว่าดัชนีหุ้นต่างๆ นั้นยังไม่ส่งสัญญาณความอ่อนแอ
-
ค่าเงินดอลลาร์ปิดตลาดแบบทรงตัว
เมื่อไม่มีการพาดหัวข่าวที่เป็นลบเพื่อกดดันตลาด มีแรงต้านเพียงเล็กน้อยและปริมาณการซื้อขายที่ต่ำในช่วงท้ายของสัปดาห์ของปี 2019 S&P 500 นั้นมีเปอร์เซ็นต์การทำกำไรที่เหมือนกับปี 2013 ที่ 29.6% ถือว่าดีที่สุดของทษวรรษ ในช่วงการซื้อขายสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีในสหรัฐฯรวมถึง SPX, ดาวโจนส์ และNASDAQ นั้นทำสถิติสูงสุดตลอดกาล ทำให้หุ้นไต่ระดับสูงขึ้น และยังได้แรงหนุนจากนโยบายจากธนาคารกลางและสัญญาข้อตกลงทางการค้าของสหรัฐฯ และจีน
ในอดีต หุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉลี่ยที่ 7.0% ในปีนั้น ซึ่งตามมาด้วยผลตอบแทนที่ 25% แต่ในปี 2014 ตลาดยังได้รับ 11.39% ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่า ผลตอบแทนที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องตามมาด้วยตัวที่แย่เสมอไป อย่างไรก็ตามด้วยการประเมินมูลค่าที่สูงในปัจจุบัน เราคิดว่านักลงทุนจำเป็นต้องรวมอัตราผลตอบแทนระยะยาวที่ผลตอบแทนต่ำกว่าที่คาด ใส่ไว้ในกลยุทธ์ของพวกเขาด้วย
มีการแก้ไขตัวเลขใกล้ 20% ในปี 2018 และผลตอบแทนใกล้เคียงกับที่เคยบันทึกไว้ ณ สิ้นปี 2019
เป็นครั้งแรกที่ NASDAQ ได้แตะระดับ 9000 เมื่อวันพฤหัสบดี Amazon (NASDAQ:AMZN) เป็นหุ้นที่ทำได้ดีที่สุดหลังจากที่ยักษณ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซได้มีรายงานว่ายอดขาย “ทะลุเป้า” ในเทศกาลวันหยุด
ในขณะที่ปฏิทินไม่ได้บอกวงจรของตลาดอย่างมีนัยยพ แต่ก็มีผลกระทบด้านจิตวิทยา เมื่อใกล้เวลาสิ้นปี ผู้ถือหุ้นและลูกค้าของสถาบันการลงทุนต่างๆ มักจะนำเอาผลการดำเดินงานของ “หุ้น” มาพิจารณาลงทุน ในปี 2019 มีส่วนคล้ายปี 2016 ที่หุ้นได้ทำบันทึกสูงสุดใหม่ด้วยความเสี่ยงที่จะให้เกิดขาลง แต่สภาพแวดล้อมที่ดีกลับผลักให้ราคาสูงขึ้น
ในขณะที่เราตระหนักว่านโยบายจากเฟดนั้นมีผลกระทบต่อตลาดอย่างลึกซึ้ง ทั้งจากมุมมองของปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงต่อแนวโน้มขาลงที่ลดลง ซึ่งนโยบายดังกล่าวนั้นเฟดจะนำออกมาใช้เพื่อต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงมากกว่าการกระตุ้น สิ่งที่ไม่มีความเชื่อมโยงกันนี้ ได้นำเราไปสู่สถานที่ที่นักลงทุนไม่เคยไปมาก่อน
ประเด็นก็คือ เราไม่สามารถที่จะเรียกตลาดให้กลับคืนมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดที่ทำให้นักลงทุนผิดหวังหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังซื้อหุ้นต่อ
ปีที่ผ่านมานี้มีจุดสูงสุดใหม่ 34 จุดสำหรับ S&P 500 หลังจากการแก้ไขเมื่อปลายเดือน ธ.ค.ซึ่งต่ำกว่าระดับ 20% สำหรับตลาดขาลง ซึ่งเป็นช่วงคริสต์มาสที่เลวร้ายที่สุดในปี 2018
ตั้งแต่ปี 2013 ที่ตลาดได้ฟิ้นตัวอย่างเต็มที่จากความล้มเหลวก่อนปี 2008 กลับไปสู่ระดับสูงสุดปี 2007 SPX ได้ทำสถิติสูงสุดตลอดกาล 271 ครั้ง ตามข้อมูลใน FactSet นั่นเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ในวันของการซื้อขายเพียง 16% นักวิเคราะห์ได้ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อระบุว่า จุดสูงสุดใหม่นั้นไม่ได้บ่งบอกถึงความอ่อนแอ
ข้อมูลเหล่านี้ถูกผลักดันให้อยู่ในระดับยุติธรรม โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะเวลา 126 เดือน อันที่จริงเมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมาการเติบโตของสหรัฐฯ แซงหน้าตัวเลขที่แข็งแกร่งในช่วงปี 1990 โดยอ้างว่าเป็นบันทึกใหม่
สิ่งที่สนับสนุนการเติบโตคืออัตราการว่างงานต่ำที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ตลาดแรงงานในสหรัฐอเมริกาขยายตัวขึ้น 2 ล้านตำแหน่งทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจและใช้จ่ายต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเศรษฐกิจของประเทศเนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคคิดเป็น 65% ของ GDP ของสหรัฐฯ
สถานการณ์ที่ผิดปกติ - อัตราเงินเฟ้อต่ำควบคู่ไปกับอัตราดอกเบี้ยต่ำส่งผลให้มีบางสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนและไม่มีการแก้ไขสต็อก 10% ในระหว่างปี ที่จริงแล้ว S&P ได้มีการดึงกลับ สองครั้งเท่านั้น การร่วงลง 6.8% ในเดือนพ.ค.และ 6.1% ในเดือนส.ค.
สำหรับการเปรียบเทียบในอดีตการแก้ไขในตลาดหุ้นที่ถูกกำหนดให้ลดลง 10% หรือมากกว่านั้นเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณปีละครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนในระดับต่ำในปีที่ผ่านมา S&P 500 มีการเคลื่อนไหวเพียง 7 ครั้งต่อวัน (ขึ้นหรือลง) 2% หรือมากกว่าในปี 2019 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 19 ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อ้างข้อมูลจาก FactSet
อีกปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นอุปสงค์ทั่วโลก สำหรับสินทรัพย์ในสหรัฐฯ คือ การเติบโตของ GDP ของโลกที่ชะลอตัวลงสู่ระดับประมาณ 3% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตของโลกที่ช้าที่สุดในรอบ 10 ปีซึ่งเป็นผลโดยตรงจากข้อพิพาททางการค้า
ในทางตรงกันข้ามอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรจะลดลงครึ่งหนึ่งจากจุดสูงสุดในเดือน พ.ย. 2018 ถึงระดับต่ำสุดในเดือน ก.ย. 2019 ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะการพิจารณาผลตอบแทนควรเพิ่มขึ้นพร้อมกับตราสารทุนเนื่องจากทั้งคู่จะมีผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากความเสี่ยงที่ลดลง
ในช่วงต้นเดือนพ.ย.อัตราของธนบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ขึ้นไปอยู่เหนือเส้นแนวโน้มขาลง ตั้งแต่จุดสูงสุดในเดือนพ.ย. 2018 แต่ไม่สามารถทำยอดสูงสุดในเดือนพ.ย.ปี 2019 ได้ ทำให้ติดอยู่ระหว่างแนวโน้มทั้งสอง และกลับลงไปอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ย DMA200 เมื่อวันศุกร์
ในเดือนต.ค. 50 WMA ได้ตกลงอยู่ใต้ 200 WMA ทำให้เกิดเส้นตัดขาลงในระยะยาวในกราฟรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2015 นอกจากนี้ในกราฟรายสัปดาห์ ได้แสดงอัตราผลตอบแทนกำลังพัฒนาลิ่มที่เพิ่มขึ้นเป็นลบ หลังจากที่ลดลง 55% ระหว่างจุดสูงสุดในเดือนพ.ย. 2018 และจุดต่ำสุดในเดือนก.ย. 2019
ดัชนีดอลล่าห์สหรัฐฯ สิ้นสุดสัปดาห์เกือบทรงตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 1% อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกันค่าเงินดอลลาร์ก็พัฒนาช่องทางที่เพิ่มขึ้นซึ่งกำลังลงไปทดสอบด้านล่าง
น้ำมัน เพิ่มขึ้นเกือบ 36% ในปีนี้ ภาวะสินค้าล้นตลาดเนื่องจากการชะลอตัวทั่วโลก และการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานของสหรัฐฯ ทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นในช่วงระหว่างปี อย่างไรก็ตาม จากนโยบายผ่อนคลายจากธนาคารกลางและความหวังต่อข้อตกลงทางการค้าว่าด้วยข้อมูลล่าสุด ได้หนุนการเติบโตทั่วโลก ผลักดันน้ำมันเพิ่มขึ้น 11.7% ในเดือนนี้
ในขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์ได้ร่วงลงสามเดือน ตั้งแต่เดือนต.ค.ถึงธ.ค. 2018 ซึ่งสะท้อนถึงการเทขายหุ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบยังร่วงมากกว่า 15% จากระดับสูงสุดที่ $75 เหรียญ เป็นขาลงระยะยาวในเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งเห็นได้จากกราฟด้านบน ทำให้เกิดการเทขาย นับว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ขาขึ้นระยะยาวรายเดือนในต้นปี 2001