หลังจากที่ใครๆ ก็เอาแต่พูดกันว่าให้ระวังสภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่เราเห็นกลับเป็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นอย่างเช่นดัชนีที่สำคัญอย่างดาวโจนส์ยังสามารถขึ้นไปแตะ 28000 จุดได้ เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจให้กับนักลงทุนและสามารถดึงดูดนักลงทุนเข้ามาถือหุ้นได้อีกครั้งแม้กับหุ้นที่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะรอดแล้วก็ยังเป็นที่สนใจของตลาด ความน่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในตอนนี้แสดงออกเป็นความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในช่วงนี้
สาเหตุหนึ่งที่นักลงทุนอยากกระโดดเข้ามาในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้เพราะสถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ – จีนที่มีความคืบหน้าในทางที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าขาขึ้นนี้จะอยู่กับนักลงทุนไปตลอดหรือไม่และเราสามารถเรียกวัฐจักรของหุ้นตอนนี้ได้ว่าก้นเหวจริงๆ แล้วหรือยังยกตัวอย่างเช่นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม
ในสภาพเศรษฐกิจที่อัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำเป็นประวัติกาลและธนาคารกลางพร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ยอยู่ทุกเมื่อ ยังคงมีสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาซ่อนอยู่
ยกตัวอย่างเช่นรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ มีรายงานเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่าตัวเลขยอดขายปลีกในเดือนตุลาคมไม่สามารถดีดกลับขึ้นมาได้ซึ่งเป็นผลที่ตามมาจากตัวเลขในเดือนกันยายน บริษัทอย่าง JPMorgan Chase & Co. ลดตัวเลขคาดการณ์ GDP รายปีในไตรมาสที่ 4 ของตัวเองลงจาก 1.75% เหลือ 1.25%
แม้ว่าในช่วงนี้เราจะเห็นจากข่าวอยู่ทุกวันว่าสถานการณ์การเจรจาการค้าในขั้นแรกระหว่างสหรัฐฯ – จีนกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี มีสัญญาณที่เป็นบวกมากมายและดูเหมือนว่าทั้งสองประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ แต่ในมุมมองของเรายังมองว่าเสี่ยงเกินไปที่จะดีใจกับข่าวเหล่านี้เพราะทั้งสองประเทศยังคงส่งสัญญาณที่เป็นความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องและมีข้อมูลที่เชื่อถือได้จริงๆ มีน้อยมากว่าสหรัฐฯ – จีนจะลงเอยกันด้วยดีได้จริงๆ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม
ในขณะที่ตัวแทนเจรจาของทั้งสองประเทศกำลังรอที่จะประชุมกันในช่วงสุดสัปดาห์ CNBC ก็มีรายงานเมื่อวันจันทร์ว่าจีนไม่ค่อยพอใจกับท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ที่ไม่ยอมที่จะยกเลิกการขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนที่มีมาหลังจากเดือนพฤษภาคมทั้งหมด
สัญญาณแห่งปัญหา
สืบเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามการค้าฯ การปรับตัวสูงขึ้นของตลาดหุ้นในตอนนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนในตอนนี้เกือบจะมั่นใจ 100% แล้วว่าจะมีข่าวดีตามออกมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งจะช่วยดันหุ้นของบริษัทให้มีอัตราการเติบโตไปจนถึงเป้าการทำกำไรที่บริษัทวางไว้สำหรับปี 2020
ในช่วงต้นปีที่สงครามการค้าฯ ยังคงเข้มข้น เหล่านักลงทุนได้เปลี่ยนไปถือหุ้นบริษัทแต่เพราะแนวโน้มของราคามีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมากจนทำให้หลายๆ ภาคส่วนมีผลงานที่ดีเกินคาดอย่างเช่น S&P 500 ในตอนนี้อย่างหรือ KBW Nasdaq Bank Index ที่มีอัตราผลตอบแทนจากต้นปีมาจนถึงในปัจจุบันมากถึง 26% เมื่อเปรียบเทียบกับ S&P 500 ที่มีผลตอบแทนอยู่ที่ 24% และนับตลอดทั้งปีที่ผ่านมาเฉพาะดัชนี S&P 500 มีผลงานที่ดีเกินคาดไปแล้วมากกว่า 28%
หากคุณคิดว่านี่เป็นการมองตลาดในแง่บวกด้านเดียวเกินไปหรือเปล่า? ถือเป็นเรื่องที่ดีที่คุณคิดอย่างนั้นเพราะนักลงทุนที่ดีไม่ควรจะตื่นเต้นเกินไปและรีบเข้าซื้อหุ้นในจังหวะที่กราฟกำลังส่งสัญญาณแห่งปัญหาให้ได้เห็น
หุ้นของบริษัท 3M (NYSE:MMM) บริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีกิจการหลากหลายประเภทถือเป็นตัวอย่างของหุ้นที่เราแนะนำว่าควรเลี่ยงในขณะที่กราฟยังคงปรับฐานอยู่บริเวณก้นเหว แม้ว่านับตั้งแต่เดือนตุลาคมหุ้นตัวนี้จะปรับตัวฟื้นขึ้นมาได้ 13% แต่เมื่อวานนี้กราฟก็ร่วงลงไป 1.7% และมีจุดปิดอยู่ที่ $167.77
หุ้นของบริษัท 3M ได้ลดตัวเลขคาดการณ์การทำกำไรในปี 2019 ของตัวเองลงเมื่อเดือนที่แล้ว CEO ของบริษัทนาย ไมเคิล โรมัน ได้กล่าวถึงความท้าทายที่บริษัทของเขาที่ต้องเผชิญกับผู้ประกอบการรายย่อย ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทกำลังถูกท้าทายจากผู้แข่งขันรายอื่นจากหลายทิศทาง
หุ้นของบริษัทที่ทำเกี่ยวกับเหมืองรายใหญ่อย่าง Caterpillar (NYSE:CAT) ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ราคากำลังดีดตัวกลับขึ้นมานับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมซึ่งสามารถขึ้นไปได้มากถึง 20% ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาเมื่อวาน 1.2% และมีราคาปิดอยู่ที่ $141.52
ในหมายเหตุของ UBS เมื่อไม่นานมานี้ได้ลดระดับความน่าสนใจของหุ้น Caterpillar ลงโดยกล่าวว่าหุ้นของบริษัทในปีนี้มากกว่าครึ่งจะถึงจุดอิ่มตัวในปี 2019 และปริมาณความต้องการในตลาดจะลดลงในปี 2020
การที่หุ้นของ Caterpillar มีผลงานแย่ลงนั้นเป็นไปตามคาดสถาบันการเงินใหญ่ๆ อย่าง IMF หรือ OECD ซึ่งสถาบันการเงินทั้งสองได้มองภาพรวมของสภาพเศรษฐกิจในปี 2019 ไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นไรท่ามกลางสมรภูมิสงครามการค้าที่ลุกลามไปทั่วโลก
บทสรุป
สภาพเศรษฐกิจที่แข็งแรงของสหรัฐฯ ในช่วงนี้เกิดจากความคาดหวังให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยและนักลงทุนที่หวังให้สหรัฐฯ- จีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันได้ นอกจากปัจจัยเชิงบวกเหล่านี้สถานการณ์โดยรวมถือว่ายังคงไม่ชัดเจน ความเสี่ยงยังคงมีอยู่ การตัดสินใจซื้อหุ้นอย่าง 3M และ Caterpillar ในช่วงนี้ถือว่ามีความเสี่ยงและยังมีการผันผวน