จับตาโค้งสุดท้ายการเจรจาข้อตกลง Brexit
- สัปดาห์ที่ผ่านมา ความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลดลง หลังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนมีความคืบหน้ามากขึ้น และทั้งสองฝ่ายเริ่มบรรลุข้อตกลงบางส่วน
- ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามนอกจากการเจรจาการค้า จีน-สหรัฐฯ คือ การเจรจาข้อตกลง Brexit โดยตลาดอาจผันผวนสูงขึ้น หากอังกฤษไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหภาพยุโรประหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ EU Summit
- เราเชื่อว่า ผู้เล่นในตลาดจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น เงินดอลลาร์จึงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ (Sideways) แม้ตลาดอาจปิดรับความเสี่ยง แต่เชื่อว่าเงินดอลลาร์ยังคงติดแนวต้านแถว 30.60 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากผู้ส่งออกจำนวนมากก็พร้อมเข้ามาขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับ 30.60 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำก็อาจปรับตัวขึ้น กดดันเงินดอลลาร์ได้เช่นกัน
- กรอบเงินบาทสัปดาห์หน้า 30.25-30.75 บาท/ดอลลาร์
มุมมองนโยบายการเงิน
- การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ในวันพุธ ตลาดคาดว่าจะ“ลด”อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (7D Repo Rate) 0.25% สู่ระดับ 1.25% เพราะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องจากการส่งออกที่ซบเซาหลังสงครามการค้ายืดเยื้อ อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อล่าสุดก็อยู่ในระดับต่ำที่สุดคือ -0.4%
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
- ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดจะติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน หลังทั้งสองฝ่ายเริ่มบรรลุข้อตกลงบางส่วน ซึ่งอาจนำการเซ็นข้อตกลงการค้าระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกในเดือนหน้าที่ชิลี นอกจากนี้ ตลาดคาดว่ายอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนกันยายน จะเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้า ชะลอลงจากที่โตได้ 0.4% ในเดือนสิงหาคม ชี้ว่าภาคการบริการสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว กดดันภาพรวมเศรษฐกิจ
- ฝั่งยุโรป – วันอังคารตลาดมองว่าดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจเยอรมนี (ZEW Survey) จะปรับตัวลดลงสู่ระดับ -27จุด สะท้อนถึงมุมมองที่เป็นลบมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี นอกจากนี้ตลาดจะติดตามการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรประหว่างวันที่ 17-18 นี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสสุดท้ายในการเจรจาข้อตกลง Brexit ระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับสหภาพยุโรป ก่อนที่รัฐสภาอังกฤษจะอภิปรายกำหนดแนวทางของ Brexit ในวันที่ 19
- ฝั่งเอเชีย – วันศุกร์ ตลาดคาดว่าเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวได้ 6.0% จากปีก่อนหน้า ชะลอลงจากที่โตได้ 6.2% ในไตรมาสที่ 2 ส่วนรายงานดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจจีนรายเดือน อาทิ ยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) ที่จะทรงตัวที่ระดับ 5.5% ยอดค้าปลีก (Retail Sales) จะโตราว 7.8% และยอดการผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) จะเพิ่มขึ้น 5.2% ย้ำภาพเศรษฐกิจชะลอตัว หลังสหรัฐฯเก็บภาษี 15% กับสินค้าจีนมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ และชี้ว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางการจีนยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น