โดย Kathy Lien กรรมการผู้จัดการด้านกลยุทธ์จาก BK Asset Management
ภาพรวมตลาดฟอเร็กซ์ประจำวันที่ 25 กันยายน 2019
เดือนกันยายนนับว่าเป็นเดือนที่ปัจจัยทางการเมืองมีความโดดเด่นแซงหน้าเรื่องเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นนายกบอริส จอห์นสัน นายกจัสติน ทรูโด จนมาถึงประธานาธิบดีทรัมป์ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรีสองคนข้างต้นส่งผลให้ค่าเงินสเตอร์ลิง และดอลลาร์แคนาดา ต้องอ่อนค่าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในกรณีของประธานาธิบดีทรัมป์ ดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้น และพันธบัตรต่างก็ปรับตัวขึ้นทั้งที่กำลังอยู่ในช่วงการประกาศไต่สวนอย่างเป็นทางการเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงในช่วงแรกของการซื้อขายในวันพุธ ตลาดก็ระลึกได้อย่างรวดเร็วว่าโอกาสที่ทรัมป์จะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้จริงนั้นเป็นไปได้น้อยมาก นอกจากนี้ นักลงทุนยังรู้สึกพอใจกับรายงานการถอดข้อความทางโทรศัพท์ที่ทรัมป์ได้พูดคุยกับยูเครนที่เปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ด้วย อันที่จริงแล้วประธานาธิบดีสหรัฐฯ รับปากไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเปิดเผยบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์อย่างเต็มรูปแบบ แต่ทางทำเนียบขาวส่งเอกสารออกมาในรูปแบบของ “บันทึกข้อความการสนทนาทางโทรศัพท์” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทรัมป์เคยรับปากไว้ แต่กลายเป็น “รายงานสถานการณ์จากเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ภายในห้อง” แทน แต่นักลงทุนก็ยังคงรู้สึกดีกับการเปิดเผยบันทึกข้อความดังกล่าวอยู่ดีเพราะในขณะที่บันทึกแสดงให้เห็นว่าทรัมป์ขอให้ทางยูเครนสอบสวนนายไบเดนและเซิร์ฟเวอร์ของคณะกรรมการประชาธิปไตยแห่งชาติ (DNC) นั้น ทรัมป์ไม่ได้เสนอเพื่อให้สิ่งใดเป็นการตอบแทนแต่อย่างใด เพราะหากมีการทำเช่นนั้นก็จะเข้าข่ายว่าเป็นการขอข้อมูลโดยผิดกฎหมาย
หลักทรัพย์ต่างๆ ของสหรัฐฯ ก็ได้รับประโยชน์จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าข้อตกลงทางการค้ากับจีนอาจบรรลุได้เร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด แต่กระนั้นนักวิเคราะห์บางคนก็แย้งว่าการไต่สวนอย่างเป็นทางการเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีจะเป็นการขัดจังหวะการออกกฎหมายและยังอาจกระทบกับโอกาสในการบรรลุข้อตกลงทางการค้าอีกด้วย ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่มีความคืบหน้าทางด้านข้อตกลงการค้า ทรัมป์ก็มักจะไม่ค่อยเอาจริงเอาจังมากเท่าที่ควรเนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับการเมืองและการเงิน หรือสิ่งสำคัญอื่นๆ เข้ามาขัดจังหวะอยู่บ่อยครั้ง แนวคิดในเรื่องการทำ “ข้อตกลงขนาดเล็ก” ซึ่งเป็นกระแสในตลาดในช่วงตลอดสองเดือนที่ผ่านมา และช่วงนี้ก็อาจเป็น “เวลาที่เหมาะสม” แล้วที่จะเริ่มการเจรจากันให้มีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้น แนวคิดนี้ทำให้ USD/JPY ซึ่งได้ร่วงต่อเนื่องไปสี่วันกลับมามีการซื้อขายในระดับที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์นิวซีแลนด์ ก็น่าจะปรับตัวตามมาได้ในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน
AUD และ NZD มีการซื้อขายกันในระดับที่ลดลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในช่วงวันพุธเนื่องจากตลาดเห็นว่าในช่วงนี้ยังเป็นเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ โดยปกตินักลงทุนจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันก่อนที่จะพิจารณาในมุมอื่นๆ ที่กว้างออกไป ส่วนหนึ่งที่ทำให้ดอลลาร์นิวซีแลนด์ต้องปรับลดลงเกิดจากตัวเลขดุลการค้าที่ยังอ่อนค่าและท่าทีผ่อนปรนของธนาคารกลาง ในขณะที่ NZD/USD พุ่งสูงขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้เหมือนเดิม ใน แถลงการณ์นโยบาย ก็ยังคงมีท่าทีที่ผ่อนปรนอยู่ โดยธนาคารกลางกล่าวว่า หากมีความจำเป็นก็จะมีการนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาใช้เพิ่มเติม แต่ก็ไม่ได้มีการปรับตัวเลขที่คาดการณ์แต่อย่างใด ตัวเลขการขาดดุลทางการค้าเพิ่มขึ้นเป็น -1.56 พันล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม ซึ่งมากกว่าดุลการค้าในเดือนกรกฎาคมที่ระดับ -700 ล้านไปถึงสองเท่า อันเป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่ลดลงและการนำเข้ากลับสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปริมาณน้ำมันดิบ ที่ปรับลดลงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่ในส่วนของการส่งออกนมผง เนย และชีสนั้นยังคงดีอยู่ ข้อมูลดังกล่าวทำให้เราทราบว่าความต้องการซื้อสินค้าส่งออกยังคงดีแม้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะเกิดการชะลอตัวลงก็ตาม
ด้าน EUR/USD ก็ปิดตลาดนิวยอร์คที่ต่ำกว่า 1.0950 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2017 เป็นต้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่มีรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจใดๆ ประกาศออกมาเมื่อวันพุธ เศรษฐกิจของยูโรโซนที่ยังอ่อนตัวต่อเนื่องรวมทั้งผลจากการที่ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นในภาพรวมจึงทำให้ยูโรปรับตัวลดลง เมื่อช่วงต้นสัปดาห์เราได้กล่าวไว้ว่า EUR/USD น่าจะกำลังมุ่งหน้าไปที่ระดับ 1.09 ถึงแม้จะใช้เวลาในการเหวี่ยงตัวอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วขณะนี้ก็มาอยู่ที่ระดับนี้จริงๆ ส่วนเงินสเตอร์ลิง ก็ยังปรับลดลงมากกว่า 1% ด้วยเช่นกันเมื่อเทียบกับดอลลาร์ นอกเหนือจากความต้องการถือเงินดอลลาร์ที่มากขึ้นแล้ว GBP/USD ยังได้รับผลเสียจากความผันผวนในเรื่อง Brexit ด้วย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันกล่าวว่าเขายัง “มองในแง่ดีแต่ในขณะเดียวกันก็มีความระมัดระวัง” อยู่ เขาได้กล่าวว่าสหราชอาณาจักรกับคณะกรรมมาธิการยุโรปยังคงมีช่องว่างที่ค่อนข้าง “ห่างไกล” กันมาก ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าการเจรจาต่อรองในเรื่อง Brexit ยังไม่น่ามีวี่แววว่าจะมีความคืบหน้าแต่อย่างใด