หุ้นของ Uber Technologies (NYSE:UBER) และ LYFT (NASDAQ:LYFT) ยังคงร่วงลงอย่างฉุดไม่อยู่ ในเดือนที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทผู้ให้บริการรถรับจ้างทั้งสองแห่งนี้ปรับลดลงมาเกือบ 25% ของมูลค่าตลาดเนื่องจากมีความกังวลว่าบริษัทยัง ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ในการสร้างผลกำไร
หุ้นของทั้งสองบริษัทปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิด IPO จนถึงเมื่อวานนี้ Uber ปิดตลาดที่ระดับ $32.24 ลดลงจากการซื้อขายช่วงแรกๆ ในเดือนพฤษภาคมถึงกว่า 22% ในขณะที่หุ้นของ Lyft ก็ร่วงลงไปมากกว่า 43% นับตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดในเดือนมีนาคมจนมาปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ระดับ $44.38
กราฟราคาหุ้น Uber และ Lyft
นับตั้งแต่เปิด IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้เป็นต้นมา ทั้งสองบริษัทก็ต้องประสบปัญหาหุ้นตกค่อนข้างรุนแรงเนื่องจากเริ่มมีคู่แข่งที่มากขึ้น ในช่วงการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองซึ่งเพิ่งจะสิ้นสุดไปเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งสองบริษัทรายงานตัวเลขขาดทุนออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ โดย Uber รายงาน ว่าขาดทุนสุทธิ 5.24 พันล้านเหรียญ ส่วน Lyft รายงานว่า ขาดทุน 644.2 ล้านเหรียญซึ่งสูงกว่าตัวเลขการขาดทุนในปีก่อนหน้านี้มากกว่าสามเท่า
สถานการณ์ทางการเงินที่ย่ำแย่เช่นนี้ทำให้มีคำถามตามมาว่า นักลงทุนยังควรเสี่ยงลงทุนกับธุรกิจให้บริการรถรับจ้างต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ทั้งสองบริษัทยังคงต้องตอบคำถามพื้นฐานให้ได้ว่ารูปแบบธุรกิจของตนคืออะไร?
มีตัวอย่างร่างกฎหมายของแคลิฟอร์เนียฉบับหนึ่งที่อาจบังคับให้บริษัททั้งสองแห่งจัดประเภทคนขับของตนว่าเป็นพนักงานของบริษัทมากกว่าที่จะเป็นผู้รับจ้างชั่วคราว ซึ่งก็อาจทำให้เกิดปัญหาในเรื่องโครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายกับทั้งสองบริษัทได้ ร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาในแคลิฟอร์เนียแล้วในเดือนพฤษภาคม และนายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียก็ได้เริ่มสำรวจประชามติในเรื่องนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วเช่นกัน
อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของคู่แข่งมีต่ำ
เมื่อพิจารณาในปัจจัยทางด้านธุรกิจ ทั้งสองบริษัทพบว่าหากไม่มีการเสนอส่วนลดให้ ผู้ใช้บริการก็มักจะเลือกไม่ใช้ บริษัท Uber ซึ่งให้บริการอยู่ทั่วโลกนั้นกำลังประสบปัญหาการแข่งขันจากคู่แข่งรายเล็กๆ ในท้องถิ่นที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งไปได้อย่างง่ายดาย
จากรายงานล่าสุดของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล ปัญหาหลักที่มีในตอนนี้คืออุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของคู่แข่งมีค่อนข้างต่ำ จึงไม่มีทางหยุดยั้งธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาแข่งขันกับ Uber ได้เลย
ตัวอย่างเช่น ในลอนดอน ซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เคยสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำให้กับ Uber ในอดีต ขณะนี้มีคู่แข่งรายใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก รวมถึงบริษัทให้บริการรถรับจ้างสัญชาติเอสโตเนียอย่าง Bolt ด้วย รายงานกล่าวว่า “ปัญหาเช่นนี้จะยังเกิดขึ้นต่อไปตราบที่ธุรกิจร่วมลงทุนยังคงมีเงินทุนให้ใช้ต่อไป”
นายดารา โคสโรชาฮี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Uber กล่าวว่าเขามีแผนการที่ไม่เพียงแต่จะทำให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้เท่านั้น แต่จะทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่มีสูงในปัจจุบันได้ โดยบริษัทจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของ “แพลตฟอร์ม” ที่มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นอย่างดีให้เกิดเป็นระบบขนส่งหนึ่งเดียวที่ทันสมัยและมีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งจะรวมเอาบริการรถรับจ้าง ธุรกิจส่งอาหาร บริการ Uber Eats รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า บริการขนส่งสินค้า รถยนต์ไร้คนขับ และรถยนต์บินได้
ส่วน Lyft ซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนความมุ่งหมายไปจากธุรกิจหลักของตนเอง ซึ่งก็คือการให้บริการรถรับจ้างนั้น เส้นทางในการทำกำไรของบริษัทจึงอาจไม่ซับซ้อนเท่ากับคู่แข่งรายใหญ่ ในไตรมาสที่สอง บริษัทสามารถสร้างรายได้มากขึ้นได้จากจำนวนผู้ใช้บริการที่มีเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีรายได้ต่อผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันก็มีการตัดโปรโมชันออกอย่างมากด้วยเช่นกัน
นายไมเคิล เจ โอลสัน นักวิเคราะห์จากธนาคารไพเพอร์ แจฟเฟรย์ได้เขียนไว้ในรายงานว่า “Lyft อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกคน หากบริษัทอยู่ในสถานะที่ยังไม่สามารถทำกำไรได้เช่นนี้” “แต่สำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนระยะยาวอย่างอดทน เราขอแนะนำให้ถือครองหุ้นที่ระดับราคานี้”
บทสรุป
เราเห็นว่าธุรกิจการให้บริการรถรับจ้างอาจไม่ใช่เหมาะกับการลงทุนในปีนี้นัก เนื่องจากยังมีปัจจัยความเสี่ยงทั้งทางด้านคู่แข่งที่มีมากและกฎระเบียบต่างๆ ที่อาจมีเพิ่มเติมออกมาในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นช่วงนี้จึงน่าจะหมดเวลาแห่งความตื่นเต้นสำหรับหุ้นอย่าง Uber และ Lyft แล้ว สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้จึงเป็นเหตุให้ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนจึงคอยถอยออกมาตั้งหลักและจับตาดูผลการดำเนินงานในช่วงปีนี้อีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจต่อไป