📊 ดูวิธีการที่นักลงทุนชั้นนำสร้างพอร์ตของพวกเขาค้นหาไอเดียการเทรด

เปิดพอร์ตวอร์เรน บัฟเฟตต์ สัปดาห์นี้ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?

เผยแพร่ 14/08/2562 10:34
AAPL
-

เป็นที่ทราบกันดีว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนแนวเน้นคุณค่าผู้โด่งดังมักจะชอบลงทุนในบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือในการสร้างรายได้หรือธุรกิจที่สามารถทนต่อสภาวะปัญหาหรือสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลาต่างๆ ได้ จากรายงาน ผลประกอบการ ล่าสุดของ Berkshire Hathaway (NYSE:BRKa), (NYSE:BRKb) แสดงให้เห็นว่าเขามีเงินสดพร้อมใช้ในมือถึง 122,000 ล้านเหรียญ จึงทำให้นักลงทุนรายย่อยและตลาดต่างก็อยากรู้ว่าเขาวางพอร์ตการลงทุนล่าสุดไว้อย่างไร

การที่เขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท Berkshire ทำให้การซื้อขายหรือถือครองหุ้นของบริษัทเสมือนเป็นการการันตีว่าหุ้นที่จะตัดสินใจซื้อหรือเลือกถือครองนั้นต้องผ่านการตัดสินใจของเขาด้วยเช่นกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนรายย่อยหลายรายจึงเลือกที่จะลงทุนตาม รวมทั้งตลาดก็ยังตอบสนองกับการซื้อและขายหุ้นของนายวอร์เรนด้วย

อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์ยังเคยมีประวัติการลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงินอย่างเช่น American Express(NYSE:AXP) และหุ้นเด่นอย่าง Coca-Cola (NYSE:KO) และล่าสุดเขาเริ่มเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งค่อนข้างเป็นหุ้นตัวใหญ่ๆ อย่าง Apple (NASDAQ:AAPL) (NASDAQ:AAPL) ด้วยเช่นกัน นี่เป็นสัญญาณว่าเขากำลังเปลี่ยนแนวการลงทุนหรือเปล่า?

ไม่มีใครที่จะสามารถตอบคำถามนี้ได้นอกจากตัวของบัฟเฟตต์เอง แต่ในวันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม บริษัท Berkshire Hathaway ได้เปิดเผยเอกสาร 13F ซึ่งก็คือรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) กำหนดไว้เพื่อแสดงการถือครองสินทรัพย์ของผู้จัดการหน่วยลงทุนสถาบันทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทซึ่งมีมูลค่าอย่างน้อย 100 ล้านเหรียญ การรายงานผลประกอบการของบริษัทเป็นที่จับตามองเป็นอย่างมากเนื่องจากจะช่วยให้นักลงทุนและตลาดเข้าใจมุมมองการลงทุน รวมทั้งหุ้นที่นายบัฟเฟตต์กำลังให้ความสนใจได้มากขึ้น

ก่อนที่รายงานผลประกอบการดังกล่าวจะประกาศออกมา เราพยายามที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าว่านายบัฟเฟตต์จะให้ความสนใจซื้อขายหุ้นใดในช่วงไตรมาสนี้ดังนี้

หุ้นที่จะซื้อเพิ่มคงจะหนีไม่พ้น Microsoft

ในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมาเขามักจะมีการซื้อหุ้นใหม่เข้ามาเสมอ และบางครั้งก็เป็นหุ้นที่ดูน่าแปลกใจอีกด้วย ช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 Berkshire ซื้อหุ้นของ Amazon (NASDAQ:AMZN) เก็บไว้ในพอร์ต ในไตรมาส 4 ปี 2018 Berkshire ได้เข้าซื้อหุ้นของ Suncor Energy (NYSE:SU), ธุรกิจซอฟต์แวร์แบบเปิดของ Red Hat (ซึ่งถูก IBM ซื้อไว้ในเดือนตุลาคม 2018) และบริษัทผู้พัฒนาบริการด้านเทคโนโลยีอย่าง StoneCo (NASDAQ:STNE) ดังนั้นในคราวนี้ Microsoft (NASDAQ:MSFT) จึงน่าจะติดโผอย่างแน่นอน

BRKb Weekly vs SPX vs MSFT 1998-2009

กราฟรายสัปดาห์ของหุ้น BRKb เทียบกับ SPX และ MSFT ในช่วงปี 1998-2009

จากที่เคยเลี่ยงหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีมาโดยตลอด ในระยะหลังๆ บัฟเฟตต์ก็เริ่มเปลี่ยนแนวการลงทุน ล่าสุด Berkshire Hathaway ได้เข้าซื้อหุ้นของ Amazon จำนวน 860 ล้านเหรียญและถือครองหุ้นของ Apple ในสัดส่วนที่มากที่สุดในพอร์ตด้วยมูลค่าถึง 47,000 ล้านเหรียญ แต่ก็มีอยู่หนหนึ่งที่ Berkshire ซึ่งมักจะใช้กลยุทธ์ซื้อแล้วถือไว้เสมอต้องตัดสินใจผิดพลาดเมื่อเข้าซื้อหุ้นตัวหนึ่งและขายออกไปภายในเวลาเพียงสามเดือน และหุ้นตัวนั้นคือหุ้นของ Oracle

เป็นที่ทราบกันดีว่าบัฟเฟตต์เป็นผู้ที่ชอบเลือกหุ้นที่ค่อนข้างปลอดภัยสูง และหุ้นของ Microsoft ก็เป็นหุ้นที่ปลอดภัยที่สุดตัวหนึ่งของตลาดในขณะนี้ จึงเป็นไปได้มากว่าเขาจะเลือกซื้อหุ้นตัวนี้ รายงานผลประกอบการ ล่าสุดของบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่รายนี้แสดงให้เห็นว่ามีความโดดเด่นในเรื่องการเติบโตสูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน รวมทั้งอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างมั่นคง ซึ่งเหตุผลดังกล่าวน่าจะเป็นเงื่อนไขอันดับแรกที่บัฟเฟตต์จะใช้ในการเลือกหุ้น

หุ้นที่น่าจะซื้อเพิ่มเติมคือผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง JPMorgan และ Amazon

เมื่อครั้งที่บัฟเฟตต์ต้องผิดหวังกับหุ้นของ Oracle เขาได้กล่าวไว้ในช่วงขายหุ้นออกไปว่าเขารู้สึก “แปลกใจ” ว่า Amazon และ Microsoft จัดการธุรกิจระบบคลาวด์กันอย่างไร หลังจากนั้นในไตรมาสถัดมา บัฟเฟตต์ก็ได้เข้าซื้อหุ้นของ Amazon ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านระบบคลาวด์ และเขามักจะกล่าวถึงความสำคัญของการเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมอยู่เสมอๆ หากสิ่งที่เขาสนใจเป็นเรื่องนี้แล้วล่ะก็ Amazon ก็น่าจะเป็นหุ้นที่น่าจะต้องซื้อเพิ่มเติมในไตรมาสนี้อย่างแน่นอน

เมื่อพูดถึงตำแหน่งผู้นำของอุตสาหกรรมแล้ว บัฟเฟตต์มักจะใจอ่อนกับหุ้นในกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินมาโดยตลอด ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของเขามีหุ้นในกลุ่มดังกล่าวอยู่ทั้งหมดถึง 45% โดยหุ้นสองอันดับแรกจากทั้งหมดสามตัวในกลุ่มนี้คือ Bank of America (NYSE:BAC) และ Wells Fargo(NYSE:WFC) มีมูลค่าในพอร์ตเป็นอันดับที่สองและสามรองลงมาจากหุ้นของ Apple นับตั้งแต่มีข้อครหาเกี่ยวกับบริษัท Wells Fargo ออกมา JPMorgan Chase (NYSE:JPM) จึงกลายมาเป็นตัวเลือกดีที่สุดอันดับหนึ่ง เนื่องจากมีอัตราราคาต่อผลกำไร (PE ratio) อยู่ที่ระดับ 11 และจ่ายเงินปันผลถึงเกือบ 3% ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นหาก Berkshire Hathaway ต้องการเพิ่มหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดี JPMorgan จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

หุ้นที่อาจต้องปรับลดลงคือ Apple

เหตุใดบัฟเฟตต์จึงควรขายหุ้นของ Apple ทั้งๆ ที่เคยถือไว้ถึง 47,000 ล้านเหรียญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา? ปัจจุบันหุ้นของบริษัทผู้ผลิตไอโฟนรายนี้คิดเป็นสัดส่วน 24% ในพอร์ตของ Berkshire Hathaway ทั้งบริษัทและบัฟเฟตต์เองอาจเห็นว่ามีการลงทุนในหุ้นของ Apple มากเกินไป รวมทั้ง Berkshire อาจพิจารณาปรับลดการถือหุ้นของ Apple ลง ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อถือ Apple แต่เพราะมีสัดส่วนในพอร์ตที่มากเกินไปเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดทั่วไปในการบริหารจัดการเพื่อกระจายความเสี่ยง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น หุ้นที่มีสัดส่วนมากเป็นอันดับสองรองจาก Apple ในพอร์ตโฟลิโอของบริษัท Berkshire คือ Bank of America ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 12% และหุ้นอื่นๆ ในพอร์ตก็ไม่มีตัวใดที่มีสัดส่วนเกิน 10% ดังนั้นอย่าแปลกใจหากบัฟเฟตต์จะขายหุ้นของ Apple บางส่วนทิ้งไปในไตรมาสนี้ เพราะเขาเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการบริหารจัดการความเสี่ยง

หุ้นที่อาจจะขายทิ้งคือหุ้นของ Phillips 66

ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2016 บริษัท Berkshire Hathaway มีหุ้นของบริษัททางด้านพลังงานอย่าง Phillips 66 (NYSE:PSX) อยู่เกือบ 81 ล้านหุ้นซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันอยู่ที่ 6,400 ล้านเหรียญ แต่หลังจากนั้นก็เริ่มค่อยๆ เทขายไปโดยเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นของไตรมาส 1 ในปี 2018 และได้ขายหุ้นที่เหลือออกไปในช่วงไตรมาสที่แล้วถึง 50% ทำให้ปัจจุบันบริษัท Berkshire ถือหุ้นของ Phillips 66 อยู่เพียง 5 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าราว 500 ล้านเหรียญ ล่าสุดบัฟเฟตต์ตัดสินใจที่จะลงทุนในหุ้นของ Occidental Petroleum (NYSE:OXY) เป็นมูลค่า 10,000 ล้านเหรียญซึ่งจะทำให้เขาได้รับเงินปันผล 8% หรือคิดเป็น 800 ล้านเหรียญต่อปี การที่เขาเลือกลงทุนในหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันแทนทำให้น่าจะตัดสินใจในการตัดหุ้นทั้งหมดของ Phillps 66 ออกจากพอร์ตโฟลิโอของ Berkshire Hathaway ได้ง่ายขึ้น

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย