“ยาถอนพิษ” สุดคลาสสิกสำหรับนักลงทุนทองคำก็คือช่วงเวลาที่คุณคิดว่าราคาทองคำน่าจะกำลังปรับตัวขึ้นจนฉุดไม่อยู่ แต่ทันใดนั้นการฟื้นตัวก็หยุดชะงักไปเสียดื้อๆ คุณจึงอาจจะต้องเทขายไปมากกว่าที่จะซื้อเพิ่ม
ราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ในขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า $1,395 ต่อออนซ์ และก็ยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงใดๆ ที่น่าจะมาขัดขวางไม่ให้ทองคำปรับตัวขึ้นอีกได้ เมื่อพิจารณาจากการที่ทองคำสามารถขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปีที่ $1,439.99 ได้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งห่างจากราคาปัจจุบันอยู่เพียง 3% เท่านั้น
ในขณะที่การก้าวไปให้ถึงระดับ $1,400 อาจไม่ใช่ปัญหา แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่าก็คือราคาจะปรับขึ้นไปถึงระดับ $1,500 หรือมากกว่านั้นตามที่นักลงทุนคาดหวังไว้ได้หรือไม่
ตัวแปรหลักที่จะส่งผลกับราคาได้ก็คือแถลงการณ์ของเฟด นำโดย การแสดงความคิดเห็นเป็นเวลาสองวัน ของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้
เครื่องมือตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจาก Investing.com ยังชี้ว่าตลาดมีความเชื่อมั่น 100% ว่าเฟดจะ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ลงจาก 2.25%-2.5% เป็น 2%-2.25% ในการประชุมครั้งต่อไปช่วงวันที่ 30-31 กรกฎาคมนี้
แต่ยังมีความเห็นในตลาดอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าจะมีการปรับลดดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาจากตัวเลข ปริมาณการจ้างงาน ที่เติบโตขึ้นได้มากถึง 224,000 ตำแหน่งในเดือนมิถุนายนซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจในขณะนี้ยังคงแข็งแกร่งจนอาจไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายผ่อนปรนทางการเงินในขณะนี้ เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานที่คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตขึ้นในเดือนที่แล้วมีเพียง 160,000 ตำแหน่งเท่านั้น
ความคิดเห็นของประธานเฟดจะเผยให้เห็นสาเหตุที่แท้จริงของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ความคิดเห็นของนายพาวเวลล์ในครั้งนี้จะถูกนำไปวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อคาดการณ์ผลการโหวตของคณะกรรมการนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในกาประชุมที่จะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ในเดือนนี้
นอกจากปัจจัยในด้านความคิดเห็นของนายพาวเวลล์แล้ว สิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางหลักของทองคำก็คือ รายงานการประชุม ประจำเดือนมิถุนายนของ FOMC ที่จะประกาศออกมาในวันพุธ ซึ่งจะเป็นการเผยว่าเหตุใดคณะกรรมการจึงลงคะแนนเสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในเดือนที่แล้ว
ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา FOMC ไม่ใช้คำว่า “อดทน” ที่จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในแถลงการณ์ของธนาคารซึ่งเดิมมีการใช้คำนี้มาโดยตลอด ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้นักลงทุนทราบว่าแทนที่เฟดจะรอข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม ก็อาจจะมีการเร่งดำเนินการเพื่อให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาเกือบสิบปีสามารถเติบโตต่อไปได้
นายพาวเวลล์ยังเคยกล่าวด้วยว่า “การป้องกันไว้เพียงเล็กน้อยดีกว่าต้องมาแก้ไขมากมายในภายหลัง” ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณที่บอกว่าธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการที่เรียกว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อความปลอดภัยก่อนที่เศรษฐกิจจะประสบปัญหา
หากยึดตามข้อมูลในอดีตเป็นหลัก เฟดก็มีแนวโน้มที่จะไม่ทำตามคำเตือนเท่าใดนัก หมายความว่าเฟดอาจจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิสตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่จะรอดูตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนนี้ก่อนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ในขณะที่นักลงทุนในตลาดทองคำอีกจำนวนหนึ่งยังคงเชื่อมั่นว่าจะมีการปรับลดลงถึง 50 จุดเบสิสอย่างแน่นอน
นายเจสซี โคเฮน นักวิเคราะห์จาก Investing.com กล่าวว่า
“นายพาวเวลล์น่าจะสามารถทำได้ทั้งการส่งเสริมหรือจำกัดไม่ให้ตลาดคาดหวังในเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ได้”
“ในขณะนี้ยังคงคาดเดาได้ยากว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนกรกฎาคมหรือไม่ ดังนั้นผมคิดว่าน่าจะต้องจับตาดูท่าทีของนายพาวเวลล์ว่าเขาจะเห็นต่างกับความคาดหวังของตลาดที่อยากให้มีการปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างไรบ้าง”
กรรมการของเฟดที่จะต้องออกมาแถลงเป็นรายต่อๆ ไปคือ นายจอห์น วิลเลียมส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางนิวยอร์ค, นายเจมส์ บุลลาร์ด ผู้ว่าการธนาคารกลางเซนต์หลุยส์, นายราฟาเอล บอสติค ผู้ว่าการธนาคารกลางแอตแลนตา, นายแรนดอล ควอเลส รองประธานด้านการควบคุมดูแลของเฟด, นายโทมัส บาร์กิน ผู้ว่าการธนาคารกลางริชมอนด์ และ นายนีล คาชคารี ผู้ว่าการธนาคารกลางมินนิอาโปลิส
แน่นอนว่า ผู้ที่น่าจับตามองมากที่สุดในขณะนี้คือนายบุลลาร์ด สมาชิกคนเดียวของคณะกรรมการทั้งหมดที่ออกเสียงคัดค้านการคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเฟดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และโดยภาพรวมแล้ว ผู้ว่าการธนาคารกลางเซนต์หลุยส์เป็นผู้ที่มีท่าทีประนีประนอมที่สุดในบรรดาสมาชิก FOMC ทั้งหมด
ราคาทองคำน่าจะไปแตะระดับ $1,500 ได้อย่างแน่นอน แต่คำถามก็คือ เมื่อไหร่ล่ะ?
ธนาคารเมอร์ริล ลินช์ แห่งอเมริกา (NYSE:BAC) เชื่อมั่นว่าทองจะไต่ขึ้นไปได้อย่างน้อยอยู่ที่ $1,500 แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในระยะสั้นต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้เป็นสำคัญ
ธนาคารชี้แจงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
“ท่าทีประนีประนอมที่มากขึ้นของเฟด ประกอบกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่รุนแรงเช่นนี้น่าจะผลักให้ราคาทองคำขึ้นสู่ $1,500 ต่อออนซ์ได้ภายในระยะเวลา 12 เดือน อย่างไรก็ตามเรายังคงกังวลว่าตลาดจะนำประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ มาพิจารณาร่วมด้วยอีกครั้งเร็วหรือช้าเพียงใด”
“หากมีความล่าช้าในการนำนโยบายผ่อนปรนทางการเงินมาใช้ รวมทั้งผลเชิงบวกจากการประชุม G20 ก็อาจผลักราคาทองในระยะสั้นให้ต่ำลงได้”
นักวางแผนกลยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำจาก UBS ก็เห็นพ้องกันกับประเด็นนี้โดยกล่าวว่า
“เราเชื่อว่าในภาพรวมแล้วทองคำยังน่าจะปรับตัวขึ้นต่อได้ แม้ว่าหนทางที่จะเดินต่อไปอาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบก็ตาม”
UBS คาดว่าทองคำจะปิดตลาดปลายปีนี้ได้ที่ระดับต่ำกว่า $1,400 และจะไปทรงตัวอยู่ที่ระดับ $1,450 ในปี 2020
และในปี 2021 ถึง 2023 ทองคำน่าจะสามารถไต่ขึ้นไปอยู่ที่ $1,500 หรือเหนือกว่านั้นได้เล็กน้อย