ในขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังทวีความรุนแรงและยังไม่มีวี่แววว่าจะเห็นทางออกเช่นนี้ อารมณ์ของตลาดจึงเหวี่ยงกลับไปเป็นขาลงอีกครั้ง
สัปดาห์ที่ผ่านมาคือสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประจำปี 2019 เลยก็ว่าได้ เนื่องจากนักลงทุนเร่งเดินหน้าหนีความเสี่ยงหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่ใช้อัตราภาษีเพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าจากจีนตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไป ความรู้สึกดีใจหลังจากที่มีการ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลงเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็หายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากนักลงทุนไม่เห็นวี่แววว่าธนาคารกลางจะมีท่าทีในการปรับลดดอกเบี้ยลงอีกแต่อย่างใด
สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเนื่องจากเป็นจุดตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งหลังจากที่ตลาดสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างแข็งแรงจากการปรับฐานในช่วงก่อนหน้า ในสัปดาห์นี้จะมีการประกาศผลประกอบการของหลายบริษัทออกมา ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้น 3 ตัวที่น่าจับตามองมาฝากดังนี้
1. Disney
ด้วยความสำเร็จทางด้านคอนเทนต์ที่ทรงพลังและอนาคตของบริษัทที่น่าจะไปได้สวย บริษัท Walt Disney (NYSE:DIS) จะรายงาน ผลประกอบการในไตรมาส 3 ประจำปี 2019 ออกมาในช่วงหลังปิดตลาดวันอังคารที่จะถึงนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ $1.72 และมียอดขาย 21,460 ล้านเหรียญ
ในปีนี้หุ้นของ Disney ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 30% ด้วยแรงหนุนจากการทุบสถิติรายได้ภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องที่เกิดขึ้น นอกจากนั้น Disney ยังประสบความสำเร็จอย่างมากจากผลงานที่ยอดเยี่ยมด้านธุรกิจสวนสนุก รวมทั้งบริการวิดีโอสตรีมมิ่งตัวใหม่ที่กำลังจะเปิดให้ใช้ในเร็วๆ นี้ด้วย
เมื่อวันศุกร์ หุ้นของบริษัทไปปิดที่ระดับ $141.62 โดยหุ้นของ Disney เคยขึ้นไปทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลได้ที่ระดับ $147.15 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา
กราฟรายสัปดาห์ของหุ้น Walt Disney
บริษัทสื่อและธุรกิจบันเทิงยักษ์ใหญ่รายนี้เตรียมตัวที่จะเปิดตัวบริการ Disney+ ในปีนี้ซึ่งก็อาจทำให้คู่แข่งอย่าง Netflix (NASDAQ:NFLX) ต้องตกที่นั่งลำบากเลยทีเดียว
ด้วยสถานการณ์หุ้นที่ปรับตัวได้ดีขึ้นอย่างมากเช่นนี้ โอกาสที่บริษัทจะต้องใช้ต้นทุนที่สูงขึ้น รวมทั้งตัวเลขที่คาดการณ์สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2019 จะกลายเป็นสองปัจจัยหลักที่มีความสำคัญและควรจับตามอง
2. CVS Health
CVS Health (NYSE:CVS) จะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสสองออกมาในช่วงก่อนเปิดตลาดวันพุธนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีกำไรเฉลี่ยต่อหุ้นอยู่ที่ $1.69 และมียอดขาย 62,650 ล้านเหรียญ
การคาดการณ์กำไรประจำปี 2019 และ ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของบริษัทที่ออกมาค่อนข้างดีนั้นไม่สามารถช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจกับหุ้นของบริษัทได้ เพราะเห็นได้ว่าหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงไปในปีนี้แล้วถึง 15% โดยไปปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ $55.71 ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ด้านยาของสหรัฐฯ รวมทั้งการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงกับบริษัท Walgreens (NASDAQ:WBA)
กราฟรายสัปดาห์ของหุ้น CVS
ในเดือนพฤษภาคม CVS ได้ปรับตัวเลขกำไรที่คาดการณ์ต่อหุ้นในปีนี้เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ในครั้งก่อนที่ $6.68- $6.88 เป็น $6.75-$6.90 ดังนั้นตัวเลขดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจับตามองว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจสุขภาพรายนี้จะทำผลงานได้อย่างที่คิดหรือไม่
แม้ว่าบริษัทจะลงทุนในการควบรวมกิจการกับบริษัท Aetna (NYSE:AET) ไปด้วยมูลค่า 69,000 ล้านเหรียญในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาจนทำให้บริษัทกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจด้านการประกันสุขภาพและการให้ผลตอบแทนที่ใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้นักลงทุนคลายความกังวลไปได้ทั้งหมด การควบรวมกิจการดังกล่าวนับเป็นวิธีในการพัฒนาองค์กรและเร่งการดำเนินงานในภาคบริการของธุรกิจของ CVS เพื่อเตรียมรับมือกับบริษัท Amazon (NASDAQ:AMZN) ที่กำลังจะเข้ามาเป็นคู่แข่งในอุตสาหกรรมสุขภาพ
3. Uber
Uber (NYSE:UBER) เป็นอีกบริษัทที่น่าจับตามองในฐานะบริษัทผู้ให้บริการรถรับจ้างที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีกำหนดจะประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองออกมาในวันพฤหัสบดีนี้
มีการคาดการณ์กันว่าบริษัทจะขาดทุน $2.1 ต่อหุ้น และมียอดขายอยู่ที่ 3,310 ล้านเหรียญเนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าบริษัทน่าจะยังทำกำไรได้ไม่ดีเท่าที่ควรเพราะมีจำนวนคู่แข่งในตลาดและต้นทุนที่สูงมากขึ้น
นายมาชา คาห์นและนายเฮนนิง คอสแมน สองนักวิเคราะห์จาก HSBC เขียนไว้ในรายงานเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่าบริษัท Uber ได้เปิดทำการซื้อขายต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมจำเป็นต้องสู้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและมีการแข่งขันสูง และผู้บริโภคมีความอ่อนไหวกับราคาค่อนข้างมากเช่นนี้ให้ได้ คู่แข่งคนสำคัญในอเมริกาเหนือของ Uber คือบริษัท Lyft (NASDAQ:LYFT) มักจะลดราคาให้ต่ำกว่า Uber ราว 20-25% ในนิวยอร์ค และยังมีบริการ Bolt ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากบริษัท Daimler AG ก็ใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้ในลอนดอนเช่นกัน
กราฟรายวันของหุ้น Uber
หุ้นของ Uber ยังคงเป็นขาลงนับตั้งแต่เปิด IPO ในเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาหุ้นของบริษัทปรับลดลงกว่า 2%