ฤดูเลือกตั้งที่ใกล้จะจบลงของสหรัฐอเมริกาทำให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นสูง ท่ามกลางความผันผวนที่ไม่รู้ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร
ประธานาธิปดีดอนัล ทรัมป์ และคู่แข่งของเค้า โจ ไบเดิน อดีตรองประธานาธิปดีสหรัฐ เข้าห้ำหั่นกันในโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งปี 2020 แม้ว่าจะมีการเปิดให้ลงคะแนนจริงวันอังคาร แต่ประชาชนกว่า 100 ล้านคนก็ได้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการหาเสียงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เปรยให้เรารู้ว่า ผลอย่างเป็นทางการอาจจะยังไม่สรุปแน่ชัดภายในหลายวันข้างหน้านี้ เนื่องจากต้องรอคะแนนที่ส่งมาทางไปรษณีย์ และผลตัดสินอาจต้องไปชี้วัดกันที่ศาล
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ดาวโจนส์ก็ยังทำสถิติปรับตัวขึ้นสูงสุดถึงเลข 2 หลักในวันจันทร์ที่ผ่านมา แม้ว่าสถานการณ์กลุ่มหุ้นในภาคเทคโนโลยีอาจไม่สู้ดีนัก
และนี่คือ 3 สิ่งที่อาจส่งผลต่อตลาดหุ้นในวันอังคาร
1. ตลาดหุ้นเตรียมรับชัยชนะจากพรรคเดโมแครต(Blue wave)
จากผลสำรวจ ไบเดินทำคะแนนนำทรัมป์ราว 10 คะแนนตลอดช่วงเวลาหาเสียง โดยผลสำรวจจาก Quinnipiac ระบุว่าไบเดินได้รับคะแนนอยู่ที่ 50% ในขณะที่ทรัมป์มีคะแนนเพียง 39% เท่านั้น อย่างไรก็ตามผลโพลอาจมีการคาดเคลื่อนได้เนื่องจากความสำคัญของรัฐที่ไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่าผลจะออกไปทางใดอย่างมิชิแกนหรือเพนซิลเวเนียนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญกว่ารัฐอื่นๆที่ผลสำรวจค่อนข้างตายตัว
หุ้นที่มีผลกับชัยชนะของไบเดิน ในที่นี้เราเรียกหุ้นเหล่านี้ว่าบลูเวฟ(Blue wave) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มจะได้รับการผลักดันอย่างมากหากไบเดินได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิปดี เช่น หุ้นที่เกี่ยวของกับการใช้จ่ายในปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด ทั้งนี้ หากทรัมป์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเทอมที่ 2 โครงการเหล่านี้อาจไม่ได้รับการผลักดันเท่าที่ควร
2. การเลือกตั้งครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อกิจการร้านอาหาร
หุ้นที่เกี่ยวของกับกิจการร้านอาหารจะได้รับผลกระทบโดยตรงหากไบเดินชนะ เนื่องจากได้มีการผลักดันค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาอยู่ที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งได้มีการใช้มาตรการนี้แล้วในเมืองใหญ่ๆหลายแห่ง
หากธุรกิจร้านอาหารเครือข่ายอย่าง The Cheesecake Factory (NASDAQ: CAKE), The Wendy’s Co (NASDAQ: WEN) และ Chipotle Mexican Grill Inc (NYSE: CMG) ไม่ขึ้นราคาอาหาร ปัจจัยนี้จะสร้างแรงกดดันให้ธุรกิจพวกนี้อย่างมาก
ในอีกแง่มุมหนึ่ง การระบาดใหญ่ของไวรัสทำให้คนส่วนมากเลิกทำอาหารกินเองและหันมาบริโภคอาหารจากร้านอาหารมากขึ้นทำให้ธุรกิจร้านอาหารอย่าง McDonald’s Corporation (NYSE: MCD) และ Restaurant Brands International Inc (NYSE: QSR) มีปัจจัยบวกและมีสภาพคล่องสูงขึ้น
3. เต๊นท์รถมือ 2 ดันยอดขายขึ้นจากโรคระบาด
การระบาดของไวรัสครั้งนี้ทำให้หลาย ๆ คนหันมาซื้อบ้านชานเมืองและซื้อรถเพื่อใช้เดินทางมากขึ้น ทำให้ยอดขายรถมือสองในเดือนมิถุนาสูงขึ้นถึง 22% จากปีที่ผ่านมา ปัจจัยนี้ส่งผลกระตุ้นให้กลุ่มหุ้นผู้ค้าปลีกรถยนต์มือสองรายใหญ่อย่าง AutoNation Inc (NYSE: AN), CarMax Inc (NYSE: KMX) และ Carvana Co (NYSE: CVNA) ที่พึ่งเปิดตัวไม่นานจากการสนับสนุนจากวอชิงตัน อาจเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้มีการซื้ออย่างต่อเนื่อง