InfoQuest - ตลาดหุ้นลอนดอนปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันศุกร์ (4 ต.ค.) โดยลดช่วงติดลบลงหลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงปิดตลาดในรอบสัปดาห์นี้ลดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,280.63 จุด ลดลง 1.89 จุด หรือ -0.02% และลดลง 0.5% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาหุ้นลดช่วงติดลบลงหลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนก.ย. ซึ่งคลายความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ทั่วโลก
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ปรับตัวขึ้น 0.9% และพุ่งขึ้นมากกว่า 5.5% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. เนื่องจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐกำลังหารือเกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อโรงงานผลิตน้ำมันของอิหร่าน
ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับภาวะอุปทานที่ชะงักงัน ซึ่งหนุนหุ้นเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบสัปดาห์นี้
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเกือบ 2% ขณะที่นักลงทุนปรับลดคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และ ฮิว พิล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุว่า BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
หุ้นกลุ่มสินค้าส่วนบุคคลพุ่ง 3% นำตลาด หลังหุ้นวอตช์ ออฟ สวิตเซอร์แลนด์ กรุ๊ป (Watches of Switzerland Group) พุ่งขึ้น 5.5% จากแผนการที่จะซื้อกิจการโฮดิงกี้ (Hodinkee) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคอนเทนต์ดิจิทัลสำหรับผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาหรู
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ ร่วงลง 1.3% หลังหุ้นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ร่วง 1.9%
สำหรับข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในภาคการก่อสร้างบ่งชี้ว่า ภาคการก่อสร้างของอังกฤษขยายตัวในอัตราเร็วที่สุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่งในเดือนก.ย. แต่บริษัทต่าง ๆ เผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น