💎 ดูบริษัทต่าง ๆ ที่มีสุขภาพทางการเงินที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบันเริ่มต้นเลย

(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าฟื้นตัว Bond Yield ลดลงหลัง PCE สหรัฐมาตามคาด-PMI จีนดีขึ้นหนุน

เผยแพร่ 04/06/2567 16:32
© Reuters.  (เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าฟื้นตัว Bond Yield ลดลงหลัง PCE สหรัฐมาตามคาด-PMI จีนดีขึ้นหนุน
SETI
-
KCE
-
BTS
-
PTTEP
-

InfoQuest - นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสแกว่งตัวขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากที่เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยหยุดทำการไป 1 วัน โดยสหรัฐรายงานเงินเฟ้อ PCE เดือนเม.ย.เป็นไปตามที่ตลาดคาด และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Bond yield) 10 ปีปรับตัวลง ทำให้เป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้น

ขณะเดียวกันเมื่อวานนี้จีนมีการรายงาน PMI ภาคการผลิตออกมาดีขึ้น ทำให้เป็น sentiment บวกต่อตลาดหุ้นในภูมิภาคเมื่อวานนี้ และคาดว่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยในวันนี้ด้วยเช่นกัน

ส่วนปัจจัยในประเทศยังไม่มีปัจจัยใหม่ และตลาดหุ้นอี่นในภูมิภาคเอเชียเปิดมาเช้าวันนี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบ

โดยให้แนวต้าน 1,355-1,360 จุด แนวรับ 1,335-1,340 จุด

*ประเด็นพิจารณาการลงทุน

- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (3 มิ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,571.03 จุด ลดลง 115.29 จุด หรือ -0.30%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,283.40 จุด เพิ่มขึ้น 5.89 จุด หรือ +0.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,828.67 จุด เพิ่มขึ้น 93.65 จุด หรือ +0.56%

- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 38,702.54 จุด ลดลง 220.49 จุด หรือ -0.57%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 18,335.45 จุด ลดลง 67.59 จุด หรือ -0.36% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ 3,071.32 จุด ลดลง 7.17 จุด หรือ -0.23%

- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (31 พ.ค.) 1,345.66 จุด ลดลง 5.86 จุด (-0.43%) มูลค่าการซื้อขาย 74,843.96 ล้านบาท

- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,092.37 ล้านบาท (31 พ.ค.)

- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 2.77 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 74.22 ดอลลาร์/บาร์เรล

- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 มิ.ย.) อยู่ที่ 2.88 เหรียญ/บาร์เรล

- เงินบาทเปิด 36.61 แนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน จับตาทิศทางดอลลาร์-ทองคำ-Flow

- "นักวิเคราะห์ตลาดทุนไทย" ประสานเสียงลงทุน "หุ้นไทย" ครึ่งหลังปี 67 มีโอกาสฟื้นตัว ขานรับ สารพัดปัจจัยหนุน "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ-โครงการดิจิทัลวอลเล็ต-คืนชีพกองทุนแอลทีเอฟ-กำไรบจ." พร้อมจับตาศก.สหรัฐ-ยุโรป อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยชั่วคราว ส่งผลฟันด์โฟลว์โยกเข้าตลาดหุ้นเอเชียและไทย ลุ้นปลายปีดัชนี SET INDEX แตะ 1,580 จุด ด้าน "ปัจจัยเสี่ยง" แนะเฝ้าระวังทั้งปัญหา "ภูมิรัฐศาสตร์-นโยบายดอกเบี้ยเฟด"

- สมาคมตราสารหนี้" เผยตลาด หุ้นกู้เอกชนครึ่งหลังปี 67 คาดแนวโน้มกลับมา "คึกคัก" อีกครั้ง หากเฟดลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่า ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ 1 ครั้งช่วงปลายปี ส่งผลบวก "ต้นทุน" ออกหุ้นกู้ลดลง เชื่อดึงดูดความสนใจบริษัทเอกชนหันมาระดมทุนมากขึ้น ย้ำเป้ายอดออกหุ้นกู้ ปีนี้แตะ 9 แสนล้านถึง 1 ล้านล้าน

- "ทองคำ-คริปโทฯ" แนวโน้ม ครึ่งหลังปี 67 ยังคงเสน่ห์แรง "ดึงดูดนักลงทุน" ต่อเนื่อง "สมาคมค้าทองคำ" แนะจับตาสัญญาณ เฟด "ลดดอกเบี้ย" หนุนสินทรัพย์เสี่ยงราคาทะยาน หลังครึ่งแรกถือเป็นสินทรัพย์สร้าง "ผลตอบแทน" ในการลงทุน "โดดเด่น" สะท้อนผ่าน "ราคาทอง" ทุบสถิติจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ "คริปโตมายด์ฯ" ชี้ปลายปีนี้โอกาส "ตลาดคริปโทฯ" เข้าสู่ภาวะ "กระทิง" หลังครึ่งแรกเกิดปรากฏการณ์ "Bitcoin Halving" มาแล้ว

- "จุลพันธ์" จ่อชง ครม.เคาะแพ็กจัดเก็บรายได้เพิ่ม ทั้งรีดภาษีบริษัทข้ามชาติปีละ 20,000 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สำหรับสินค้านำเข้าตั้งแต่บาทแรก ส่วนจัดเก็บรายได้ช่วง 7 เดือน ปีงบ 67 พลาดเป้า 3.9 หมื่นล้านบาท

- แอตต้า เปิดเผยว่า ผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทำให้การส่งออกสินค้าของจีนเกิดปัญหา และกระทบต่อเศรษฐกิจจีน ทำให้ไทยอาจพลาดเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนที่ตั้งไว้ 8 ล้านคนได้ เพราะ 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเที่ยวไทยจำนวน 2.9 ล้านคน เฉลี่ยเดือนละ 480,000 คน ประเมินทั้งปีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะมีจำนวน 7 ล้านคน ต่ำกว่าเป้า 12.5% หากต้องการให้เป็นไปตามเป้า 8 เดือนที่เหลือของปี ต้องผลักดันให้ชาวจีนมาเที่ยวไทยให้ถึงเดือนละ 600,000 คน และต้องไปลุ้นในช่วงไฮซีซัน (ต.ค.-ธ.ค.) ว่าจะได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ 8 ล้านคนหรือไม่

- นักวิชาการ TDRI ห่วงเสถียรภาพการคลังไทยเสี่ยงสูงมาก หลังรัฐบาลคาดหนี้สาธารณะไทยจ่อแตะ 68.9% ในปี 2570 ด้านนักเศรษฐศาสตร์การเมืองฟันธงจีดีพีไทยไปไม่ถึง 5% ติงงบเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันน้อยมาก แนะเพิ่มงบลงทุน

- "จุลพันธ์" รมช.กระทรวงการคลัง จ่อฟื้นมาตรการ "Easy e-Receipt" ระหว่างรอโครงการ Digital Wallet ที่จะออกปลายปีนี้ ชี้ เศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอน จำเป็นต้องหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ส่วนกองทุน LTF ชี้ สามารถเดินหน้าได้ทันทีหากรัฐไฟเขียว เหตุมีโครงสร้างเดิมรองรับอยู่แล้ว ล่าสุด ส่งข้อมูลกลับฝ่ายนโยบายเพื่อตัดสินใจเรียบร้อย รอหารือร่วมกันอีกครั้ง

- คลังรับยังไม่ได้ข้อสรุปจะนำ LTF กลับมาใช้หรือไม่ ชี้อาจจะหาทางบูม Thai ESG แทน ด้าน ตลท.เตรียมถก ก.ล.ต. 12 มิถุนายนนี้ ยกระดับกระบวนทำงานตรวจจับ "ปั่นหุ้น-อินไซด์-เปิดเผยข้อมูลเป็นเท็จ" หวังมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมหารือการเปิดเผยข้อมูลกรณีส่งเคสเข้าข่าวกระทำผิดตามกฎหมายหลักทรัพย์

*หุ้นเด่นวันนี้

- DELTA (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐานที่ 79.0 บาท มองบริษัทรายงานกำไรฟื้นตัวใน 2H24 จากระดับ inventory ของลูกค้าที่เริ่มปรับลดลง ประกอบเชื่อได้ sentiment บวกจากตัวเลขส่งออก power supply เดือน เม.ย. ที่ปรับตัวขึ้น 32% YoY อีกทั้งการรายงานตัวเลข USCorePCE เดือน เม.ย.ที่เริ่มชะลอตัวลง MoMทำให้ตลาดปรับมุมมองการลดดอกเบี้ยนโยบาย Fed ปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 1เป็น 2 ครั้ง เป็น sentiment บวกกับหุ้น technology

- KCE (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ"ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 52.00 บาท) บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 67 เติบโตราว 4-7%YoY และ GPM ที่ 24% โดยคาดยอดขายมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/67 ต่อเนื่องไตรมาส 3/67 จากที่ล่าช้าในช่วงไตรมาส 1/67 อัตรากำไรขั้นต้นคาดทยอยเพิ่มจากไตรมาส 1/67 ที่ 23% จากการประหยัดต่อขนาด การลดต้นทุนด้วยระบบ Automation และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคตจะเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ HDI จากความต้องการในตลาด high technology และขยายฐานลูกค่าไปกลุ่ม telecom และ server เชื่อมโยงกันความต้องการด้าน AI ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 67-68 อยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท +22%YoY และ 2.3 พันล้านบาท +12%YoY

- GPSC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 59 บาท ระยะสั้นคาดได้ Sentiment หนุนจากราคาพลังงานที่ปรับลงและค่าเงินบาทที่เพลิกมาแข็งค่าเบื้องต้นแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/67 จะเพิ่มขึ้นจากต้นทุนราคาก๊าซที่ปรับลง และกำลังผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้า SPP หน่วยที่ 2 100MW ส่วนแบ่งกำไรจาก Avada จะเพิ่มขึ้น รวมถึงโรงไฟฟ้าลมไต้หวันที่เริ่มผลิตไฟฟ้าตั้งแต่เดือน พ.ค. บริษัทให้คำมั่นว่ากำลังผลิตปัจจุบันที่ 6,575 MW จะเพิ่มเป็น 10,440 MW ในปี 2026 ผ่านการลงทุนในค่างประเทศทั้งอินเดียและไต้หวัน ส่วนในไทยมีลุ้นได้กำลังการผลิตเพิ่มจากการเปิดประมูลการรับซื้อไฟฟ้ารอบใหม่ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังปี 67 ส่วน Single pool price คาดจะประกาศภายในไตรมาส 2/67 จะเป็นบวกต่อผลการดำเนินงานในระยะถัดไป

กดอ่านข่าวต้นฉบับจาก InfoQuest

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย