Investing.com - ห้าประเด็นหลักที่คุณควรทราบเพื่อเริ่มต้นสัปดาห์นี้มีดังต่อไปนี้
- สมาชิกเฟดให้คำกล่าว
ในสัปดาห์นี้สมาชิกเฟดหลายท่านมีกำหนดการให้คำกล่าว ได้แก่ ประธานเฟดจากนิวยอร์ก นายจอห์น วิลเลียมส์, ประธานเฟดจากเซนต์หลุยส์ นายเจมส์ บุลลาร์ด และประธานเฟดจากชิคาโก นายชาร์ลส์ อีวานส์
คาดว่าตลาดจะให้ความสนใจกับนายบุลลาร์ดเป็นพิเศษ เนื่องจากนายบุลลาร์ดเป็นสมาชิกท่านเดียวที่ลงคะแนนเสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ย 50 จุดในการประชุมนโยบายทางการเงินของเฟดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนสมาชิกเฟดอีกสองท่านที่เหลือกลับลงคะแนนว่าจะไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ยใด ๆ เลยทั้งสิ้น
หลังจากเฟดได้ทำการลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วเป็นครั้งที่สองในปี 2019 นี้ แผนภาพแบบจุดของเฟดก็ได้ระบุว่าจะไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ยอีกแล้วในปีนี้ ถือเป็นการกระทำที่เหนือความคาดหมายเนื่องจากก่อนการประชุมครั้งล่าสุดเฟดได้เผยว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง เพื่อรับมือกับพิษทางเศรษฐกิจท่ามกลางสงครามทางการค้าสหรัฐฯ-จีน
2. ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ
ยอดคำสั่งซื้อคงทนในเดือนสิงหาคมจะบ่งบอกให้ตลาดทราบว่า สงครามทางการค้าได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาคธุรกิจหรือไม่ โดยยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบินและเครื่องปิ้งขนมปัง คาดว่าจะลดลงไป 1% หลังจากเมื่อเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 2% และอีกตัวเลขที่น่าสนใจคือยอดคำสั่งซื้อสินค้าทุนนอกภาคกลาโหมที่ไม่รวมคำสั่งซื้อเครื่องบิน ซึ่งตัวเลขเดือนที่แล้วได้เพิ่มขึ้นมา 0.4% ถึงแม้ว่าตัวเลขการขนส่งจะลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2016 โดยการคำนวณตัวเลข GDP มักนำตัวเลขการส่งออกสินค้าทุนพื้นฐานไปคำนวณด้วย
นอกจากนี้ปฏิทินเศรษฐกิจสัปดาห์นี้ยังประกอบไปด้วยการรายงานตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ครั้งสุดท้ายในไตรมาสที่สอง รายรับส่วนบุคคล และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
3. ความขัดแย้งทางการค้า
ความคาดหวังต่อสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มย่ำแย่ลงอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากเจ้าหน้าที่รัฐจากจีนยกเลิกการเยี่ยมชมไร่ปศุสัตว์ที่มอนทานาและเนบราสกาอย่างกระทันหัน ขณะที่ตัวแทนการเจรจาทางการค้าขั้นต้นจากทั้งสองฝ่ายเพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมเป็นระยะเวลาสองวัน ณ กรุงวอชิงตัน
โดยก่อนหน้าที่จะมีการเจรจาทางการค้า มีรายงานข่าวบางสำนักที่เสนอให้ทั้งสองฝ่ายมีการทำข้อตกลงกันชั่วคราวเสียก่อน ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะประกอบไปด้วยการที่จีนสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของสหรัฐฯ การเปิดให้เข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น และการลดหย่อนมาตรการแซงก์ชันของสหรัฐฯ ต่อบริษัท Huawei
ทว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับยืนกรานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า การซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว ยังไม่มากพอสำหรับเขาที่จะยกเลิกการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจีนทั้งหมด
"พวกเราต้องการข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ ผมไม่ได้ต้องการข้อตกลงแค่ครึ่งหนึ่ง" เขาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว และเสริมว่าสำหรับเขาแล้วข้อตกลงทางการค้าไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งในปี 2020 ก็ได้
4. Brexit
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าศาลสูงของสหราชอาณาจักรมีกำหนดการที่จะตัดสินว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน กระทำการอันขัดต่อกฎหมายเพื่อระงับการประชุมสภาหรือไม่ ซึ่งหากผลการตัดสินออกมาเป็นเช่นนั้นจะเป็นการบีบบังคับให้นายจอห์นสันต้องเรียกตัวคณะส.ส.กลับมาอีกครั้ง ทำให้คณะส.ส.มีเวลามากขึ้นในการคัดค้านแผนการของเขาที่จะถอนตัวสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ไม่ว่าจะมีข้อตกลงหรือไม่ก็ตาม
นอกจากนี้ตลาดยังเฝ้าจับตาว่านายจอห์นสันจะสามารถร้องขอให้สหภาพยุโรปพิจารณาแก้ไขข้อตกลง Brexit ได้หรือไม่ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ หลังจากคำกล่าวล่าสุดของประธานคณะกรรมาธิการ EU นายฌ็อง-โคลท ยุงเคอร์ ได้ลดความคาดหวังต่อสัญญา Brexit อันเป็นการหนุนให้ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และมุ่งหน้าเพื่อส่งมอบเดือนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปีนี้
5. จับตาดัชนี PMI
ขณะที่เฟดมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในแง่ดี ทางด้านประธานธนาคารกลางยุโรป นายมาริโอ ดรากี ก็กำลังเร่งเร้าให้รัฐบาลต่าง ๆ มีการใช้จ่ายมากขึ้นหากรัฐบาลต้องการให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น
เนื่องด้วยคำมั่นของเฟดที่จะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ย "โดยขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเศรษฐกิจเป็นหลัก" ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อสหรัฐฯ ที่มีกำหนดการรายงานในวันนี้จะมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากข้อมูลที่ออกมาจะส่งผลกระทบต่อทิศทางของเฟดได้อย่างมาก
แต่ในทางกลับกัน ธนาคารกลางยุโรปกลับให้คำมั่นไว้แล้วว่าจะนำมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจออกมาใช้อย่างเต็มที่ ท่ามกลางตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ซบเซาทั่วทั้งภูมิภาค ดังนั้นหากตัวเลข PMI ฝั่งยูโรโซนออกมาเป็นที่น่าพอใจก็จะเป็นข่าวดี แต่ตัวเลขที่ซบเซาอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่จะกระตุ้นให้รัฐบาลต่าง ๆ ฝั่งยูโรโซนเร่งการใช้จ่ายให้มากขึ้นอีก
--เนื้อหาข่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักข่าวรอยเตอร์