Investing.com - ห้าประเด็นหลักที่คุณควรทราบก่อนเริ่มต้นสัปดาห์นี้มีดังต่อไปนี้
- ราคาน้ำมันเตรียมพุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุวินาศกรรมในซาอุดิอาระเบีย
เหตุวินาศกรรมโรงกลั่นน้ำมันหลักของซาอุดิอาระเบียเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ถือเป็นบททดสอบสำคัญว่าตลาดน้ำมันโลกจะสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ด้านอุปทานน้ำมันได้หรือไม่ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ทำให้อุปทานน้ำมันโลกลดลงชั่วคราวมากกว่า 5% จากประเทศผู้ผลิต น้ำมันดิบ รายใหญ่ที่สุดของโลก
อ้างอิงจากแถลงการณ์ของ Aramco ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันในประเทศซาอุฯ เผยว่า เหตุวินาศกรรมครั้งนี้จะทำให้กำลังการผลิตน้ำมันของซาอุฯ ลดลงไปราว 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) มากกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตน้ำมันทั้งหมดในซาอุฯ เลยทีเดียว
ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งขึ้นหลายดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากกำลังการผลิตที่หายไปเป็นระยะเวลานานอาจทำให้สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ นำน้ำมันดิบที่ได้เก็บไว้ในแหล่งกักเก็บน้ำมันเชิงกลยุทธ์ออกมาปล่อยสู่ตลาดเพื่อหนุนอุปทานในตลาดโลก
2. เตรียมรอเฟดลดอัตราดอกเบี้ย
ตลาดส่วนมากคาดว่าเฟดจะต้องลด อัตราดอกเบี้ย อีกครั้งเมื่อสื้นสุดการประชุมนโยบายทางการเงินเป็นระยะเวลาสองวันในวันพุธนี้ เพื่อลบล้างความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึง Brexit และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
อ้างอิงจากข้อมูลของ Investing.com ผู้ลงทุนเชื่อว่ามีโอกาสถึง 78.5% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยหนึ่งส่วนสี่จุด จากเมื่อเดือนกรกฎาคมที่เฟดได้ลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ
นักวิเคราะห์จาก ING ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “เราเชื่อว่าเฟดจะยอมลดอัตราดอกเบี้ยอีก 25 จุด เพื่อป้องกันแรงกดดันจากพิษทางเศรษฐกิจ" และ "นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะช่วยลดแรงกดดันขาขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังจากที่ ECB ได้ทำการปรับนโยบายให้มีความผ่อนคลายลงแล้ว"
3. พฤหัสบดีนี้เป็นวันสำคัญของธนาคารกลางทั่วโลก
วันพฤหัสบดีนี้จะมีการประชุมนโยบายทางการเงินทั้งในญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากการรายงานผลการประชุมของเฟด และการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรปเมื่อสัปดาห์ก่อน
คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะคง อัตราดอกเบี้ย ไว้ดังเดิม นอกเสียจากว่าเฟดจะตัดสินใจพลิกตลาดและทำให้ ค่าเงินเยน พุ่งทะยานขึ้น
ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ที่มี อัตราดอกเบี้ย อยู่ที่ -0.75% ยังไม่ได้แสดงจุดยืนว่าจะดำเนินรอยตามนโยบายแบบผ่อนคลายของ ECB หรือไม่ แต่การประชุมน่าจะให้ความสำคัญกับค่าเงินฟรังก์ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบสองปีเมื่อเทียบกับ เงินยูโร
คาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ตลาดจะรอจับตาแถลงการณ์หลังการประชุมเพื่อรอดูประเด็นที่น่ากังวลใจทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบจาก Brexit
4. สถานการณ์ทางการค้า
คณะรัฐบาลจากสหรัฐฯ และจีนจะพบปะกันในสัปดาห์นี้ ล่วงหน้าก่อนกำหนดการเจรจากันระหว่างผู้นำการเจรจาทางการค้าในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้
สัปดาห์ที่แล้วจีนได้ละเว้นการเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าทางการเกษตรบางประเภทจากสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้เลื่อนการขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีนบางประเภทไปอีกสองสัปดาห์ด้วยเช่นกัน
ข้อมูลทางเศรษฐกิจของจีนที่ประกาศออกมาในวันนี้ อันได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม, ยอดค้าปลีก และ การลงทุนในสินทรัพย์คงที่ จะช่วยทำให้ตลาดทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจของจีนท่ามกลางสงครามทางการค้าที่ยืดเยื้อ
5. ข้อมูลทางเศรษฐกิจ และการรายงานผลประกอบการ
ปฏิทินเศรษฐกิจสัปดาห์นี้จะแสดงให้เห็นถึงสภาพทางเศรษฐกิจภาคอสังหาฯ ของสหรัฐฯ ผ่านตัวเลขต่าง ๆ เช่น ยอดบ้านที่กำลังก่อสร้าง และ ยอดขายบ้านมือสอง ส่วนบริษัทผู้ให้บริการการขนส่งยักษ์ใหญ่อย่าง FedEx (NYSE:FDX) ก็มีกำหนดการรายงาน ผลประกอบการ ในวันพรุ่งนี้
ทางฝั่งยูโรโซนก็จะมีการรายงานดัชนี ZEW ของเยอรมนีในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะทำให้ตลาดเห็นภาพมากขึ้นว่าเศรษฐกิจเยอรมนีกำลังมุ่งหน้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ หลังจากเศรษฐกิจแสดงสัญญาณการหดตัวเล็กน้อยในไตรมาสที่สอง
ส่วนสหราชอาณาจักรจะเตรียมรายงาน ดัชนี CPI และแคนาดาก็มีกำหนดการรายงาน ดัชนี CPI กับ ยอดค้าปลีก
-- เนื้อหาข่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักข่าวรอยเตอร์