Investing.com -- ห้าประเด็นหลักที่คุณควรทราบเพื่อเริ่มต้นสัปดาห์นี้มีดังต่อไปนี้
- จับตาธนาคารกลางยุโรป (ECB)
แทบจะแน่นอนอยู่แล้วว่า ECB จะต้องอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ ในวันพฤหัสบดีนี้เพื่อหนุนเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ทว่ารายละเอียดที่แท้จริงของมาตรการเหล่านั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แม้ว่าการประชุมครั้งนี้จะต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่คำถามสำคัญคือ จะมีการเวนคืนสินทรัพย์อยู่ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยหรือไม่ ภายหลังจากส.ส.บางส่วนเผยว่าการทำเช่นนั้นอาจยังเร็วเกินไป
เหล่านักเศรษฐศาสตร์จาก ING ระบุไว้ว่า “ถึงแม้เราจะไม่เชื่อว่าการปรับนโยบายทางการเงินให้ผ่อนคลายจะสร้างแรงหนุนในแง่บวกให้แก่การเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่การนิ่งเฉยเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอีกต่อไป เนื่องจากตลาดได้วางเดิมพันกับการลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว"
“เราคาดหวังว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 20 จุด, มีการจัดตั้งระบบการปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นขั้นบันไดเพื่อรับมือกับสภาพคล่องทางการเงินที่มากเกินไป, เงื่อนไขของ TLTRO ที่เปิดกว้าง และการปรับนโยบายทางการเงินให้ผ่อนคลายเชิงปริมาณด้วยเงินมูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร (แม้ประการหลังจะยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน และอาจจำเป็นต้องเลื่อนไปก่อนเพื่อรอดูผลลัพธ์ของ Brexit ก็ตาม)”
2. ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Brexit
ดูเหมือนว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะมีการเลื่อน Brexit ออกไปอีกสามเดือน หลังจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะถอนสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปในวันที่ 31 ตุลาคมให้ได้ แม้จะมีข้อตกลงหรือไม่มีก็ตาม โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนายจอห์นสันได้พ่ายแพ้ให้แก่คะแนนเสียงส่วนมากในสภา ทำให้เสียงเรียกร้องของเขาให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าถูกกีดกัน
คาดว่าในวันนี้นายจอห์นสันจะพยายามอีกครั้งเพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ทว่าคณะส.ส.ฝ่ายค้านได้กล่าวไว้แล้วเมื่อวันศุกร์ว่า คณะส.ส. จะไม่หนุนการเลือกตั้งหากรัฐบาลไม่ยอมร้องขอให้สหภาพยุโรปเลื่อนเส้นตายออกไปเสียก่อน
ท่ามกลางสัญญาณทางเศรษฐกิจที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย รายงานตลาดแรงงานสหราชอาณาจักรในสัปดาห์นี้จึงเป็นที่่น่าสนใจเป็นพิเศษ อีกทั้งตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่สองและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และการค้าอีกด้วย
3. ข้อมูลเศรษฐกิจจีนย่ำแย่
ตัวเลขที่รายงานออกมาช่วงเช้าเมื่อวานนี้ระบุว่า ตัวเลขการส่งออกของจีนเดือนสิงหาคมลดลงเกินคาด โดยการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 16% ยิ่งเผยให้เห็นความอ่อนแอของประเทศเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกมากขึ้น
คาดว่าในอีกสองสามสัปดาห์ข้างหน้า จีนน่าจะประกาศมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจออกมาอีกเพื่อหลีกเลี่ยงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจไม่ให้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจประกอบไปด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ยืมด้วย
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้ลดอัตราส่วนเงินสำรองลงไปถึง 900 ล้านหยวนเพื่อหนุนเศรษฐกิจ
ตัวเลขบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อและราคาสินค้าโรงงานที่จะรายงานออกมาในวันพรุ่งนี้ น่าจะบ่งบอกข้อมูลเชิงลึกให้เห็นภาพมากขึ้นว่าจีนควรปรับนโยบายทางการเงินให้ผ่อนคลายอีกหรือไม่
4. ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ตัวเลขสำคัญที่น่าจับตาในปฏิทินเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สัปดาห์นี้คือยอดค้าปลีกประจำเดือนสิงหาคม ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ลดลงจากเดือนกรกฎาคมที่เพิ่มขึ้น 0.7% แม้การลงทุนในประเทศและการส่งออกจะชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคก็ยังคงจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้เริ่มเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.12 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมทั้งหมดเป็นอัตรา 15% แม้ตลาดเริ่มคลายความกังวลเมื่อมีรายงานข่าวว่าทั้งสองฝ่ายจะเจรจาทางการค้ากันต่อในเดือนตุลาคม แต่ภาษีศุลกากรดังกล่าวจะทำให้ชาวอเมริกันจะต้องจ่ายเงินให้กับสินค้าในราคาที่สูงขึ้นล่วงหน้าก่อนช่วงเทศกาล
ข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ได้แก่ การรายงานยอดขายการค้าส่งในวันพุธ และราคาสินค้านำเข้าในวันศุกร์
5. พันธบัตรรัฐบาล/ผลตอบแทนที่กลับกัน
ประเด็นที่อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แบบระยะยาวมีอัตราที่น้อยกว่าเงินปันผลเฉลี่ยของหุ้น กลับได้รับความสนใจน้อยกว่ากราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กลับกัน แต่นี่อาจเป็นเหตุผลที่หุ้นสหรัฐฯ ได้รับแรงหนุนภายหลังจากบอบช้ำอย่างหนักเมื่อเดือนสิงหาคมก็เป็นได้
หลังจากดัชนี S&P 500 ดิ่งลงอย่างหนักด้วยการส่งมอบขาลงรายเดือนครั้งแรกนับตั้งแต่พฤษภาคม หุ้นสหรัฐฯ ก็เริ่มออกตัวอย่างแข็งแกร่งในเดือนกันยายนนี้ โดยกราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กลับกันถือเป็นแรงหนุนที่สำคัญให้แก่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วย
ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลแบบระยะกลางนั้นอยู่ต่ำกว่าอัตราปันผลของ S&P 500 มาหลายเดือน แต่กราฟผลตอบแทนแบบระยะยาวอายุ 30 ปีเพิ่งเกิดการกลับกันเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งถือเป็นการกลับกันครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2009
-- เนื้อหาข่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักข่าวรอยเตอร์